Music Hit In your life

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

กูเกิลมาแปลก แจกเงินแฮกเกอร์ ถ้าเจาะโครมได้ : Google Chrome



กูเกิลมาแปลก แจกเงินแฮกเกอร์ ถ้าเจาะโครมได้



Google ประกาศมอบเงินรางวัลให้กับแฮกเกอร์มือฉมัง ผู้สามารถทะลวงระบบ และพบช่องโหว่ร้ายแรงของเบราว์เซอร์ Chrome ของ Google ได้ เพื่อพัฒนาระบบความปลอดภัยของเบราว์เซอร์...เว็บไซต์เดอะรีจิสเตอร์ของอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ว่า Google ประกาศมอบเงินรางวัลให้กับแฮกเกอร์มือฉมัง ผู้สามารถทะลวงระบบ และพบช่องโหว่ร้ายแรงของเบราว์เซอร์ Chrome ของ Google ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการพัฒนาระบบความปลอดภัยในเบราว์เซอร์ของ Google เองโดย Google ยินดีตบรางวัลให้แฮกเกอร์สูงสุดราว 1,337 เหรียญ (ราว 44,321บาท) หากค้นพบจุดบอด หรือข้อผิดพลาดขั้นร้ายแรง แต่ถ้าหากแฮกเกอร์พบข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เงินรางวัลอาจลดน้อยลงตามความยากง่ายของงาน

Google เพิ่มบริการโฆษณา Click-to-Call

Google เพิ่มบริการโฆษณา Click-to-Call

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา กูเกิ้ล (Google) เปิดบริการโฆษณารูปแบบใหม่บนมือถือ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถคลิกหมายเลขโทรศัพท์ในท้องถิ่น (local number) ที่ปรากฎในลิงค์บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา เพื่อต่อสายไปยังธุรกิจได้ทันที นับเป็นอีกขั้นหนึ่งของการให้บริการ

Click-to-Call บริการโฆษณาแบบใหม่ในกูเกิ้ลจะทำงานด้วยการแสดงหมายเลขโทรศัพท์เพิ่มขึ้นมาที่ด้านบน หรือด้านล่างของหน้าผลลัพธ์การค้นหา ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้ใช้สามารถเห็นโฆษณา และถ้าเขาสนใจก็สามารถเรียกสายไปยังธุรกิจได้ทันทีด้วยวิธีเดียวกับการคลิกลิงค์เพื่อดูเว็บไซต์ (แต่การคลิกคราวนี้จะเป็นต่อสาย"สมาร์ทโฟน"ของคุณไปยังธุรกิจทันที)

โฆษณาแบบ Click-to-Call จะสามารถทำงานกับไอโฟน (iPhone) และสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ (Android) โดยผู้ลงโฆษณาสามารถเลือกใช้บริการนี้ได้ผ่านทางบริการโฆษณาแบบจ่ายตังค์ (paid search ad) ของกูเกิ้ล ซึ่งทางบริษัทมั่นใจว่า ด้วยกลไกโฆษณารูปแบบใหม่นี้จะช่วยเพิ่มโอกาสขายสินค้า และบริการของผู้ลงโฆษณาได้มากขึ้น

ที่มา : http://www.arip.co.th/news.php?id=410795

ซอฟต์แวร์ไทย จะไปยุโรป

ซอฟต์แวร์ไทย จะไปยุโรป

“อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยมูลค่ากว่า 62,900 ล้านบาท มีเม็ดเงินที่คิดเป็นการลงทุนของซอฟต์แวร์ในประเทศแค่ 367.24 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.58% เท่านั้น ยังไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไป ขณะที่ปัจจุบันยอดส่งออกซอฟต์แวร์ไทยยังแค่ 4,500 ล้านบาท หากแต่ปีนี้ “โอกาส” สำหรับซอฟต์แวร์ไทยกำลังเป็นกราฟขึ้น เพราะมีหน่วยงานที่พร้อมจะสนับสนุนมากมายในรอบหลายปี”
สุวิภา วรรณสาธพ ผู้อำนวยการ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์พาร์ค อัพเดตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยในสายตาต่างชาติ ให้ฟังว่า “การ์ตเนอร์กรุ๊ป” ได้ประกาศให้ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 30 ประเทศทั่วโลก เป็นแหล่งรับพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความน่าสนใจมากที่สุดโดยยกให้ไทยเป็น "New Comer" ซึ่งถือเป็นปีแรกที่ไทยได้เข้าไปมีบทบาทสร้างชื่อในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ระดับโลก
"ถือเป็นปีแรกที่ไทย กำลังได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้น ทำให้ตลาดในยุโรปให้ความสนใจประเทศในเอเชียเป็นพิเศษ โดยไทยเองก็มีหลายประเทศมองเห็น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีบริษัทซอฟต์แวร์ที่ได้มาตรฐาน CMMI ซึ่งเป็นการให้มาตรฐานของบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วโลก ขณะนี้เราอยู่อันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งสิ้นปีนี้เราหวังว่าจะขึ้นไปเป็นที่ 2 ในระดับภูมิภาคให้ได้"
ปัจจุบันมีบริษัทซอฟต์แวร์ในไทยราว 24 บริษัทที่ได้รับมาตรฐานดังกล่าว โดยสิ้นปีนี้ คาดว่า จะมีเพิ่มขึ้นเป็น 40 บริษัท

ส่งซอฟต์แวร์บุกยุโรปปีแรก
ล่าสุด ปีนี้ซอฟต์แวร์พาร์คได้วางแนวทางการรุกตลาดเข้าสู่ยุโรปอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานซีบีไอ (Centre for the promotion of Imports from developing countries: CBI) คัดเลือก 8 บริษัทซอฟต์แวร์ไทยเพื่อเป็นกลุ่มแรกในการทำตลาด
โดยซีบีไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่เป็นองค์กรอิสระขึ้นตรงกับหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศ และมีบทบาทในการพัฒนา ช่วยเหลือการพัฒนาทางด้านการค้า การผลิต การส่งออก ผ่านรูปแบบของการฝึกอบรมทักษะ ที่ปรึกษา การให้เงินสนับสนุน และเป็นองค์กรที่มีพันธมิตรในต่างประเทศทั่วโลก
ข้อตกลงนั้นทางซีบีไอกับซอฟต์แวร์พาร์คจะอยู่ภายใต้สัญญาความช่วยเหลือ 6 ปี คือตั้งแต่ปี 2008-2014 ในชื่อโปรแกรม "CBI IT outsourcing Export Coaching Program"
โครงการนี้ จะเน้นให้ความช่วยเหลือ และเตรียมความพร้อมให้บริษัทซอฟต์แวร์ที่มีศักยภาพในประเทศไทยสามารถเข้าไปทำตลาดในสหภาพยุโรปได้ รวมทั้งถ่ายทอดความรู้ทั้งในเชิงเทคนิค การตลาด กฎหมาย และจัดหากิจกรรมทางด้านการตลาด เพื่อจัดทำกลยุทธ์และยกระดับความสามารถเทียบเท่ามาตรฐานซอฟต์แวร์ของประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป

เบื้องต้นทางซีบีไอ ได้เข้ามาคัดเลือกตัวแทนซอฟต์แวร์ของไทย โดยความร่วมมือของซอฟต์แวร์พาร์ค และมีบริษัทที่ผ่านการประเมินในปีนี้จำนวน 8 บริษัท ได้แก่ เอ็มเฟค ผู้พัฒนาและให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศรายใหญ่, เอสเอสซี โซลูชัน ผู้นำทางด้านกรีน ซอฟต์แวร์ในระดับโลก โดยเฉพาะโซลูชันด้านการจัดการน้ำ, บริษัทเอไอซอฟต์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านซอฟต์แวร์เพื่อการท่องเที่ยว ระบบการจองตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ต, บริษัททีมเวิร์ค ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ทางด้านคอราบอเรทีฟ, บริษัทพร้อมท์นาว ผู้ผลิตเกมบนโทรศัพท์มือถือ
บริษัทไทยเควส ผู้นำทางด้านซอฟต์แวร์การจัดการด้านข้อมูลต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีของเสิร์ชเอ็นจิ้นอัจฉริยะ, บริษัท สุวิเทค (SUVITECH) ผู้นำซอฟต์แวร์ด้านโทรคมนาคม, บริษัทไอซ์ โซลูชั่นทำโอเพ่นซอร์ส

เวิร์กชอปร่วมกับมือโปรฯ
โดยเกณฑ์การคัดเลือกนั้น พิจารณาจากบริษัทที่มีศักยภาพ ตั้งแต่ผลประกอบการ กำลังคน ความสำเร็จของบริษัทในตลาดท้องถิ่น และความเป็นผู้ประกอบการ โดยทุกบริษัทต้องผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ความพร้อม ศักยภาพและเข้าร่วมการทำเวิร์กชอป ซึ่งทางซีบีไอได้ส่งที่ปรึกษาที่มีความชำนาญด้าน ไอที เอาต์ซอร์สซิ่งในตลาดสหภาพยุโรปจำนวน 2 คนเข้ามาให้ความรู้และคัดเลือกบริษัทซอฟต์แวร์กลุ่มแรกไปตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ปีที่แล้ว จนได้ประกาศผลไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
หลังจากนั้น ทางซอฟต์แวร์พาร์คกับซีบีไอได้ส่งตัวแทนซอฟต์แวร์ทั้ง 8 บริษัทไปอบรมที่เนเธอร์แลนด์ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ร่วมกับกลุ่มประเทศพันธมิตรในโปรแกรม CBI ITO outsourcing 2008-2012 ทั้งสิ้น 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อาร์มาเนีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน, โคลัมเบีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และบังคลาเทศ ทั้งหมด 68 บริษัท
“ถึงวันนี้เราได้ผ่านการฝึกตัวแทนซอฟต์แวร์เพื่อไปบุกตลาดอียู ในขั้นที่ 3 จาก 4 ขั้นตอนที่ตั้งไว้ ซึ่งนับจากนี้ทั้ง 8 รายพร้อมแล้วจะเข้าไปทำตลาดนี้อย่างจริงจัง โดยประเดิมด้วยซอฟต์แวร์ของเอ็มเฟคในงานซีบิท ประเทศเยอรมันที่จะถึงนี้ ซึ่งทางซีบีไอ จะออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพื้นที่การแสดงสินค้าทั้งหมด และหลังจากนั้นบริษัทซอฟต์แวร์ที่เหลือจะได้รับสิทธิ์ในการไปออกงานนิทรรศการต่างๆ ในยุโรปโดยไม่คิดมูลค่าต่อไป” สุวิภา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทซอฟต์แวร์ทั้ง 8 ราย จะต้องส่งแผนการส่งออก (Export Marketing Plan) ในปีนี้ให้กับซีบีไอและซอฟต์แวร์พาร์คพิจารณา ซึ่งทั้งสองหน่วยงานจะส่งทีมที่ปรึกษาเข้าไปปรับแต่งทางกลยุทธ์ เพื่อทำให้แผนมีความเป็นไปได้ในการทำตลาดสหภาพยุโรปอย่างเป็นไปได้สูงสุด



เล็งชิงส่วนแบ่งตลาดซอฟต์แวร์ยุโรป

"ความร่วมมือครั้งนี้ ทำให้ซอฟต์แวร์พาร์ค สามารถรวบรวมฐานข้อมูลผู้ผลิตซอฟต์แวร์ของไทยและแผนการสร้างภาพลักษณ์การตลาดซอฟต์แวร์ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศได้ดีขึ้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพตลาด กลุ่มผู้ประกอบการ การสนับสนุนทางภาครัฐบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่กลุ่มลูกค้าในตลาดยุโร ซึ่งปัจจุบันยอดส่งออกซอฟต์แวร์ไทยยังแค่ 4,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเล็กมาก"
โดยปัจจุบันตลาดไอที เอาต์ซอร์สในยุโรปมีมูลค่าการตลาดปี 51 สูงถึง 207.2 ล้านล้านยูโร โดยคาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 231.2 ล้านยูโร ถือเป็นตลาดใหญ่ ที่เปิดโอกาสให้ทั้ง 8 บริษัทซอฟต์แวร์ไทยได้เข้าไปมีบทบาทในตลาด สร้างแบรนด์ และสร้างธุรกิจนอกประเทศให้มากขึ้น
ด้านความเห็นของทั้ง 8 บริษัทซอฟต์แวร์ หนึ่งใน 8 บริษัทซอฟต์แวร์ไทยให้ความเห็นว่า การบุกตลาดซอฟต์แวร์ในยุโรปครั้งนี้ ถือว่าเป็นการปูทางให้กับบริษัทซอฟต์แวร์ไทยรายอื่นๆ ได้แสดงฝีมือ โดยใน 4 ปีแรกอย่างน้อยทั้ง 8 บริษัทน่าจะได้โปรเจ็กต์ลูกค้ารายละ 1-2 โปรเจ็กต์ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าโปรเจ็กต์ตั้งแต่ระดับแสนยูโร จนถึง 2 ล้านยูโรขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ แต่ละบริษัทเสียค่าใช้จ่ายบริษัทละ 1 พันยูโรให้กับซีบีไอ ซึ่งจ่ายครั้งเดียวในระยะเวลาโปรเจ็กต์ 6 ปี ขณะที่ซีบีไอจะให้เป็นเงินทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการเวิร์กชอปที่ประเทศเนเธอร์แลนด์รายละ 800 ยูโร เท่ากับว่า บริษัทก็เสียค่าใช้จ่ายเพียง 200 ยูโรในโปรเจ็กต์ครั้งนี้ แต่หากทั้ง 8 บริษัทต้องร่วมออกบูธในนิทรรศการงานไอทีในต่างประเทศในช่วง 6 ปี ทางซีบีไอก็อาจจะสนับสนุนเงินบางส่วน ขณะเดียวกัน ทั้ง 8 บริษัทก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเองด้วย ซึ่งอยู่กับข้อตกลง หรือการเจรจา
นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์พาร์ค ยังมีโปรเจ็กต์ลักษณะเดียวกันนี้ กับประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนด้วย ซึ่งที่ผ่านมา มีบริษัทซอฟต์แวร์ไทยเข้าไปเปิดตลาดในอเมริกาแล้ว 10 บริษัท ส่วนที่จีนอยู่ระหว่างการคัดเลือก คาดว่าจะทราบผลเร็วๆ นี้

อุปสรรคซอฟต์แวร์ไทย

ขณะที่อีกฟากหนึ่ง กูรูแวดวงซอฟต์แวร์ไทย เคยบอกว่า อุปสรรคสำคัญของอุตฯ นี้ คือ ไม่มีใครให้การสนับสนุนในระยะยาว เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดที่จริงจัง ผู้ประกอบการที่มีแนวความคิดดีๆ ทำซอฟต์แวร์ดีๆ ต้องล้มหายตายจาก หนีไปทำธุรกิจอื่นเพราะทำซอฟต์แวร์ขายแล้วไปไม่รอด ไม่มีทุนที่จะพัฒนาต่อ ไม่มีสถาบันการเงินให้ความเชื่อมั่น
นอกจากซอฟต์แวร์พาร์คจะผลักดันหลายบริษัทซอฟต์แวร์ไทยเข้าสู่ตลาดยุโรปแล้ว ปีนี้ยังมีความร่วมมือระหว่าง สวทช, สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจร่วมทุน, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ซอฟต์แวร์พาร์ค, ไทยแลนด์ ไซน์พาร์ค ในการจัดเวทีพบปะระหว่างผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย และแหล่งเงินทุน ครั้งล่าสุด อาจเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะทำให้อุตฯ ซอฟต์แวร์ไทยมีสัดส่วนการลงทุนในประเทศที่มากกว่า 0.58%
จะบอกว่า ปีนี้ เป็นปีแห่งโอกาสของอุตฯ ซอฟต์แวร์ไทยแบบเข้าใกล้ความจริงมากที่สุดก็ว่าได้ จากนี้ไปคงต้องรอพิสูจน์ความสามารถของผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน..

ที่มา : http://www.arip.co.th/articles.php?id=407319

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

FeedBurner รวมเป็นหนึ่งในบริการของ Blogspot

FeedBurner รวมเป็นหนึ่งในบริการของ Blogspot


แหม! พี่กรู (Google) เราเนี่ย ขยันปรับปรุงบริการเสียจริ๊ง วันๆ มีแต่ข่าวของพี่ท่านออกมาตลอด นี่ขนาดพึ่งเปิด FeedBurner โปรเวอร์ชันออกมา ให้ทุกคนสามารถใช้บริการกันได้ฟรีๆ แล้ว ไม่กี่วันถัดมา ก็ผสมผสานบริการ เข้ากับ Blogger หรือ Blogspot อีกด้วย และคงไม่ต้องสงสัยอีกเลยว่า ไม่นานหลังจากนี้ คงจะใช้ไอดีเดียวกัน แต่ใช้งานได้ทุกที่ล่ะมั้ง แต่ผมยังอดสงสัย ไม่ได้อีกแหละว่า เมื่อไหร่จะยัด FeedBurner ลงใน Google Analytics เสียที และถ้าเป็นไปได้ คงจะเป็น Web Analytics ชั้นเยี่ยม ที่น้อยนักน้อยหนา ที่ค่ายอื่นๆ จะตามมาทันครับ



มาว่าด้วยเรื่องนี้กันดีกว่า สำหรับข่าวนี้ ถูกแจ้งผ่านบล็อก FeedBurner อีกตามเคย โดยพาดหัวข้อข่าวไว้ว่า FeedBurner Integration for Blogspot Blogs และท่านใดที่ใช้ Blogger (Blogspot) กันอยู่คงได้เฮกันล่ะทีนี้ อืม… แต่ช้าแต่ ก่อนจะใช้บริการได้ ก็ต้องสมัคร FeedBurner ก่อนเสมอ เหมือนเดิมครับ จากนั้นค่อยมาตั้งค่าใน Blogspot กัน ให้เข้าไปตั้งค่าได้ที่เมนู ตั้งค่า (Setting) –> ฟีดของไซต์ (Site Feed) จากนั้นก็กรอก URL ของฟีดคุณลงไปที่ Post Feed Redirect URL สุดท้ายก็บันทึกการตั้งค่า (Save Setting) เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนความ ยังไงๆ ก็ไปลองเซ็ตกันดูแล้วกัน มันเป็นอีกฟังก์ชันหนึ่งที่น่าใช้ทีเดียว ส่วนใครที่ Costom Domain ไป ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน



ที่มา http://www.idayblog.com/archives/249

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

อับเดตข่าวสารคอมพิวเตอร์ กับ Computertru

อับเดตข่าวสารคอมพิวเตอร์ กับ Computertru

วันนี้ตามติดข่าวสาร อับเดตข่าว ในแวดวงคอมพิวเตอร์ และไอที ที่นี่ เพียงคลิกที่ "ข่าวไอที" ง่ายๆ

คุณก็จะไม่พลาดข่าวสาร ทั้ง เตือนภัยไวรัส และ ผลิตภัณฑ์ ไอทีใหม่ๆ ได้ที่นี่


ทุกวันนี้ โลกของเทคโนโลยี หมุนไปอย่างรวดเร็ว จากเทคโนโลยี 2.5 G ก้าวเข้าสู่ 3 G จาก

คอมพิวเตอร์ Core เดียว ก้าวเข้าสู่ Core 7 ให้คุณอับเดต ข่าวสารได้ ที่นี่ ครับ


"เปลือยเพื่อชาติ" !!! ชาวเน็ตจะยอมไหม?

"เปลือยเพื่อชาติ" !!! ชาวเน็ตจะยอมไหม?


"เปลือยเพื่อชาติ" ที่ว่านี่ไม่ใช่การถอดเสื้อผ้าโชว์หุ่น แต่กระทรวงไอซีทีกำลังขอร้อง (แกมบังคับ) ให้ชาวเน็ตเมืองไทยยอมให้กระทรวงเข้ามาตรวจสอบการใช้งานอินเทอร์เน็ตใน ประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อฆ่าตัดตอนซอฟต์แวร์ผี เพลงเถื่อน และภาพยนตร์ผิดลิขสิทธิ์ ให้หมดสิ้นไปจากน่านฟ้าอินเทอร์เน็ตเมืองไทย หัวหน้าคณะทำงานระบุสิ่งที่ไอซีทีกำลังทำไม่ใช่การ Sniff หรือการแอบดักจับข้อมูลของประชากรชาวอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ทุกอย่างตาม อำเภอใจ แต่ไอซีทีจะใช้ระบบตรวจตราเพื่อเฝ้าระวังปัญหาแบบมีจรรยาบรรณ ไม่ต่างจากการที่คนไข้ต้องยอมให้หมอรับรู้ข้อมูลความลับทุกอย่าง เพื่อการรักษาโรคให้ได้ผลดีที่สุด ชาวอินเทอร์เน็ตที่หวงแหนความเป็นส่วนตัวที่สุดอาจจะแย้งว่า คนไข้ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าจะรักษาตัวเองหรือไม่


แต่จริงๆแล้วคนไข้ที่ไอซีทีต้องการอาสาตัวเป็นหมอรักษาไม่ใช่ชาวอิน เทอร์เน็ต กลับเป็นประเทศไทยที่มีปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเรื้อรังในระดับ รุนแรง ซึ่งหัวหน้าคณะทำงานปราบคอนเทนท์เถื่อนบนอินเทอร์เน็ตในสังกัดไอซีทียืนยัน ว่า การติดตั้งระบบตรวจข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะช่วยป้องกันการละเมิด ทรัพย์สินทางปัญญาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างได้ผล และยังสามารถขยายผลไปปราบเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมถึงอบายมุขออนไลน์อื่นๆ เช่น เว็บไซต์รับพนัน หรือเว็บไซต์ขายยาเสพติดได้อีก "ปกติทราฟฟิกการใช้อินเทอร์เน็ตวิ่งผ่านไอเอสพีอยู่แล้ว เมื่อมีปัญหา แล้วมีเจ้าทุกข์แจ้งความเพื่อขอให้ไอเอสพีเปิดเผยข้อมูล ไอเอสพีก็ค่อยดู แบบนี้เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะมีการกระทำผิดไปแล้ว เราต้องการดูอีกแบบ เราต้องการเลือกทราฟฟิกที่มีความเสี่ยงมาช่วยตรวจ

ที่มา http://news.nipa.co.th/news.action?newsid=194149

กูเกิลชวนเด็กประกวดดูเดิลในไทย

กูเกิลชวนเด็กประกวดดูเดิลในไทย


กูเกิลจัดงานแถลงข่าว โครงการประกวด Doodle 4 Google ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ที่สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ กรุงเทพฯ โดยมีหม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล, อาจารย์สังคม ทองมี และคุณนวลตอง ประสานทอง ให้เกียรติเป็นกรรมการตัดสินภาพดูเดิลที่ชนะเลิศจะปรากฏบนโฮมเพจของกูเกิล ประเทศไทย กูเกิล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศโครงการประกวดดูเดิลฟอร์กูเกิล (Doodle 4 Google) ครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการและอุทยานการเรียนรู้ TK park เปิดโอกาสให้นักเรียนอายุ 5-18 ปีทั่วประเทศ เข้าร่วมการประกวดออกแบบภาพ "ดูเดิล" (Doodle) สำหรับกูเกิลภายใต้หัวข้อ "เมืองไทยของฉัน" โดยงานออกแบบจะต้องสื่อถึงสิ่งที่ผู้ออกแบบชื่นชอบเกี่ยวกับเมืองไทยและสอด ประสานอย่างกลมกลืนกับโลโก้ของกูเกิล

สำหรับนักเรียนที่ชนะการประกวดจะมีโอกาสได้แสดงผลงานภาพดูเดิลบนหน้าโฮมเพ จของกูเกิล ประเทศไทย (www.google.co.th) เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มในวันแรกของเทศกาลสงกรานต์ (13 เมษายน 2553) เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกได้รับชม นอกจากนี้ผู้ชนะการประกวดจะได้เดินทางไปเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของกูเกิลที่ เมืองเมาเท่นวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และจะได้รับคอมพิวเตอร์แลปท็อป และทุนการศึกษา ส่วนทางโรงเรียนจะได้เงินสนับสนุนเพื่อซื้ออุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี และผู้ที่เข้ารอบ 40 คนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมในวันประกาศผลและพิธีมอบรางวัลในกรุงเทพฯ ช่วงเดือนเมษายน คุณพรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาดประเทศไทย กูเกิล กล่าวว่า โลโก้ของเราสะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลงรอบๆ ตัวเรา พร้อมทั้งร่วมฉลองโอกาสพิเศษที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญ


ที่มา http://news.nipa.co.th/news.action?newsid=194777

ผู้นำมอสซิลา (Mozilla) กังวลอินเทอร์เน็ตไม่เติบโต

ผู้นำมอสซิลา (Mozilla) กังวลอินเทอร์เน็ตไม่เติบโต

***ผู้นำมอสซิลากังวลอินเตอร์เน็ตไม่เติบโต มิตเชล เบเกอร์ ผู้นำมูลนิธิมอสซิลา (Mozilla) เจ้าของโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ดาวรุ่นยอดนิยมอย่างไฟร์ฟ็อกซ์ (Firefox) ซึ่งมีผู้ใช้งาน 350 ล้านคนทั่วโลกในขณะนี้ ออกมาแสดงความกังวลว่ากฏหมายในหลายประเทศกำลังเป็นอุปสรรคขัดขวางการเจริญ เติบโตของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโลก เบเกอร์กล่าวถึงความกังวลนี้บนเวทีเปิดงานประชุม Digital-Life-Design หรือ DLD โดยเบเกอร์ย้ำว่าตัวบทกฎหมายที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมระบบ เปิดเกิดขึ้นได้ยาก แม้


***เอโอแอลซื้อสตูดิโอผลิตวิดีโอ เอโอแอล (AOL)

บริษัทเว็บไซต์รายใหญ่ของสหรัฐฯประกาศทุ่มเงินสดและหุ้นมูลค่า 36.5 ล้านเหรียญสหรัฐซื้อบริษัทให้บริการด้านการผลิตวิดีโอนาม StudioNow นักสังเกตการณ์เชื่อว่านี่คือความพยายามของเอโอแอลเพื่อยกระดับระบบจัดการ คอนเทนท์วิดีโอของตัวเอง ทุกฝ่ายเชื่อว่าเอโอแอลต้องการเทคโนโลยีของ StudioNow โดยที่ผ่านมา StudioNow นั้นให้บริการสร้างและเผยแพร่วิดีโอออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีของตัวเอง ลูกค้าทั่วสหรัฐฯที่มาใช้บริการโปรดักชันเฮาส์ของ StudioNow สามารถเข้าสู่ระบบไดเรกทอรี่เพื่อใส่ข้อมูล หรือแก้ไขภาพยนตร์ได้ผ่านระบบออนไลน์แสนสะดวก คาดว่านับจากนี้ โลกจะได้เห็นบริการด้านความบันเทิงใหม่ๆจากเอโอแอล คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น ***โป๊ปดันบาทหลวงออนไลน์ สมเด็จพระสันตปาปาแห่งสำนักวาติกันหรือโป๊ปออกมาเรียกร้องให้บาทหลวงคริสต ศาสนาใช้โลกอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางสร้างศรัทธาให้มากขึ้น

ที่มา http://news.nipa.co.th/news.action?newsid=194863

Firefox 3.6 แข็งแรง-เร็วกว่าเดิม 20%

Firefox 3.6 แข็งแรง-เร็วกว่าเดิม 20%

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] ในที่สุด โมซิลล่า (Mozilla) ก็ได้เปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้ดาวน์โหลดเว็บบราวเซอร์ Firefox 3.6 เวอร์ชันสมบูรณ์อย่างเป็นทางการแล้ว โดยในเวอร์ชันนี้นอกจากเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานที่โมซิลล่าอ้างว่าเร็ว กว่า Firefox 3.5 ถึง 20% แล้ว ส่วนที่ว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจบัางนั้น ตามไปดูกันดีกว่าครับ

สำหรับ Firefox 3.6 ทางโมซิลล่าเน้นเรื่องของการใช้งานแบบส่วนบุคคล (Personalization) รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานกับเว็บไซต์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โซเชีย ลเน็ตเวิร์กกิ้ง อีเมล์ อัพโหลดภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นประเด็นของคุณสมบัติใหม่ของการทำงานที่น่าสนใจได้ ดังนี้

  • Personas: ปรับแต่งหน้าตาไฟร์ฟอกซ์ด้วยธีมที่ชื่นชอบได้ภายในคลิกเดียว
  • Pugin Updater: ปกป้องคุณจากความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ในปลั๊กอิน ไฟร์ฟอกซ์จะตรวจสอบปลั๊กอินที่ล้ำสมัยแบบเรียลไทม์
  • ปรับ ปรุงสเถียรภาพการทำงาน: Firefox 3.6 ได้รับการปรับปรุงให้สามารถลดโอกาสล่มการทำงานอันมีสาเหตุมาจาก ซอฟต์แวร์ทีทำงานร่วมกันกับบราวเซอร์ได้ดีขึ้น
  • Form Complete: ในขณะที่กรอกแบบฟอร์มออนไลน์ ไฟร์ฟอกซ์จะช่วยแนะนำข้อมูล หรือคำที่คุณน่าจะใช้เติมเข้าไปในฟิลด์ด้วยคำตอบพื้นฐานทีใช้กัน
  • สมรรถนะ การทำงาน: ประสิทธิภาพการทำงานกับ JavaScript ที่ได้รับการปรับแต่งให้โต้ตอบการทำงานได้เร็วขึ้น รวมถึงเวลาที่ใช้เรียกโปรแกรมขึ้นทำงานที่เร็วขึ้น
  • การเล่น วิดีโอและออดิโอ: Firefox 3.6 จะสนับสนุน HTML5 สำหรับการใช้งานมัลติมีเดียทั้ง Video และ Audio ทำให้ผู้ใช้สามารถแสดงผลวิดีโอแบบเต็มหน้าจอได้ รวมถึงการใส่กรอบด้วย

คุณ ผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Firefox 3.6 ได้แล้ววันนี้ สำหรับผู้ใช้ไฟร์ฟอกซ์ที่ต้องการอัพเกรดก็คลิกเมนู Help เลือก Check for Update ครับ





ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=410728

กูเกิ้ลเก่งขึ้นเน้น"คำตอบ"ในหน้าผลลัพธ์

กูเกิ้ลเก่งขึ้นเน้น"คำตอบ"ในหน้าผลลัพธ์

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวเช้านี้ กูเกิ้ล (Google) แนะนำคุณสมบัติการทำงานใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Google Squared และ Rich Sinppets ซึ่งทางบริษัทได้เคยประกาศไปแล้วในงาน Searchology ครั้งทีสองเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยสองคุณสมบัติใหม่ของกูเกิ้ลได้แก่ "การไฮไลท์คำตอบในหน้าผลลัพธ์การค้น" (answer hilighting in search results) และ "ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเหตุการณ์ต่างๆ" (Rich Snippets for events) รายละเอียดของคุณสมบัติทั้งสองมีดังนี้

สำหรับคุณสมบัติการทำงานแบบแรกที่เรียกว่า "Answer highlighting in search" นั้น มันก็จะตรงตามชื่อเลย โดยระบบจะไฮไลท์คำตอบของคำถามยอดฮิตด้วยการทำ"ตัวหนา" (bold type) ให้กับข้อเท็จจริงทีมีความสำคัญในผลลัพธ์ที่ได้จากคำค้นของคุณ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณพยายามจะทราบ"ความสูงตึกเอ็มไพร์สเตท" (Empire State heigh) คุณจะสังเกตเห็นว่า มันมีการไฮไลท์ตัวหนาให้กับ"ตัวเลขของความสูง"ไว้ในผลลัพธ์บนสุดดังรูป

คำตอบของความสูงนี้มาจากการทำงานของเทคโนโลยี Google Squared ซึ่งกูเกิ้ลกล่าวว่า มันจะไม่ทำงานกับทุกคำค้นทีมีความซับซ้อนอย่างเช่น ประวัตศาสตร์ประเทศฝรั่งเศษ "history of France" โดยการไฮไลท์คำตอบที่กูเกิ้ลค้นพบในคีวรี่คำถามยอดฮิตจะปรากฎให้กับทุกคนได้ เห็นในสองสามวันถัดมา และจะทำงานกับ Google Search ที่เป็นเวอร์ชันภาษาอังกฤษเท่านั้น

ส่วนคุณสมบัติ "Rich Snippets for events" จะเหมาะสำหรับเว็บมาสเตอร์ที่ต้องการทำหน้าคำอธิบายประกอบ (annotate) ด้วยข้อมูลทีมีการจัดโครงสร้างตามรูปแบบมาตรฐาน โดยคุณสมบัติดังกล่าวจะมีการจัดทำข้อมูลเฉพาะสำหรับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น วันที เวลา และตำแหน่งเป็นลิงค์ปรากฎอยู่ใต้ผลลัพธ์หลัก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณค้นคำว่า Iving Plaza คุณจะพบรายละเอียดเกี่ยวกับอีเวนต์ใหม่ๆ จาก Livenation.com คุณผู้อ่านที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถคลิกเข้าไปที่ Official Google Webmaster Blog

ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=410740

โต๊ะสัมผัสเชื่อม"โลกจริง"กับ"ภาพฉาย"?


โต๊ะสัมผัสเชื่อม"โลกจริง"กับ"ภาพฉาย"?

เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] นับวันไอเดียที่เห็นในภาพยนต์ไซไฟจะได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นของจริงมาก ขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น Pictionaire โต๊ะไฮเทคที่ทำให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสภาพฉายจากโปรเจ็กเตอร์กับวัตถุในโลก แห่งความเป็นจริงได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเป็นผลงานความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์รีเสิร์ชกับมหาวิทยาลัยแคลิ ฟอร์เนียร์และเบิร์กเลย์
Pictionaire เป็นโต๊ะไฮเทคที่มาพร้อมกับกล้อง และโปรเจ็กเตอร์ที่ได้รับการติดตั้งไว้บนฝ้าเพดานเหนือโต๊ะทีทำงาน โดยกล้องจะทำหน้าที่ถ่ายภาพวัตถุ ส่วนโปรเจ็กเตอร์จะฉายภาพวัตถุที่ถ่ายไว้ (เหมือนสำเนาภาพวัตถุด้วยกล้องแล้วฉายออกมาด้วยโปรเจ็กเตอร์) ลงบนโต๊ะ โดยภาพถ่ายวัตถุที่ฉายลงมาจะสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในลักษณะของการสัมผัสได้ แบบทัชสกรีน ซึ่งไมโครซอฟท์ใช้เทคโนโลยี Surface ในการตรวจจับการสัมผัสจากภาพฉายด้านบนด้วยกล้องกรองแสงอินฟราเรดที่ติดตั้ง ไว้ใต้โต๊ะตัวเดียวกันดังรูป

กล้อง DSLR และโปรเจ็กเตอร์ที่อยู่เหนือโต๊ะจะทำงานร่วมกัน เพื่อรู้จำภาพวัตถุทั้งส่วนของรายละเอียดของภาพถ่าย ตลอดจนรูปร่างและขนาด ซึ่งจะต้องเท่ากันพอดีเป๊ะ พูดง่ายๆ ก็คือ โต๊ะตัวนี้จะสามารถสำเนาวัตถุในโลกแห่งความเป็นจริงให้กลายเป็นภาพฉาย ดิจิตอลได้นั่นเอง หลังจากนั้นผู้ใช้ก็จะสามารถทำอะไรกับภาพฉายก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจับย้าย ขยาย หมุน หรือนำมาไปวางบนกระดาษ เพื่อคัดลอกเป็นลายเส้นออกมาดังตัวอย่างในคลิป (โปรแกรมจะจับคู่รูปร่าง และขนาดของวัตถุ เพื่อนำมันมาซ้อนกันโดยอัตโนมัติ) ว่าแต่ว่า เล่ามาถึงตรงนี คุณผู้อ่านพอจะมองออกไหมครับว่า เราจะสามารถนำมันไปใช้ประโยชน์อะไรได้มากกว่านี้บ้าง?


ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=410757

ด่วน!!! พบหนอนไวรัสโจมตีฮาร์ดดิสก์

ด่วน!!! พบหนอนไวรัสโจมตีฮาร์ดดิสก์

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวล่าสุด นักวิจัยจากบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอนตี้มัลแวร์เปิดเผยว่า พบหนอนไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถเขียนทับ (overwirte) ข้อมูลส่วนทีเรียกว่า master boot records (MBRs) ของทุกไดรฟ์ในฮาร์ดดิสก์ด้วยข้อมูลของมันเอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บในฮาร์ดดิสก์ได้

นักวิจัยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า การกู้ข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ที่โดนหนอนไวรัสตัวนี้โจมตีจะมีขั้นตอนที่ค่อน ข้างซับซ้อน และต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ ตลอดจนอาจถึงกับต้องเรียกใช้ผู้ให้บริการที่มีความเขี่ยวชาญ สำหรับหนอนไวรัสดังกล่าวจะมี 2 สายพันธุ์ด้วยกันคือ Win32/Zimuse A และ Win32/Zmuse B โดยทาง ESET บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยระบุว่า หนอนไวรัสทั้งสองกำลังแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในสโลวาเกีย ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนมากกว่า 90% ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ
นอกจากนี้ ยังพบอีกด้วยว่า คอมพิวเตอร์ที่กำลังโดนโจมตีจากหนอนไวรัสตัวนี้ได้เพิ่ม จำนวนอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐ ตามมาด้วยสโลวาเกีย "ประเทศไทย" และสเปน



สำหรับการแพร่กระจายของหนอนทั้งสองสายพันธุ์จะมี 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกพวกมันจะฝังตัวอยู่ในเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะอยู่ในรูปของไฟล์บีบอัด ZIP ที่สามารถคลายไฟล์ได้ในตัว หรือโปรแกรมทดสอบ IQ กับสื่อบันทึกข้อมูลพกพาอย่างเช่น USB Drive ซึ่งความสามารถในการแพร่กระจายผ่านสื่อพกพาได้ จะทำให้หนอนไวรัสพันธุ์นี้แพร่กระจายตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น

นอกจาก คุณสมบัติในการแพร่กระจายแล้ว หนอนทั้งสองตัวยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของช่วงเวลาฟักตัวก่อนการแพร่ กระจายอีกด้วย โดย Win32/Zimuse.A จะต้องใช้เวลา 10 วันก่อนที่จะเริ่มแพร่กระจายจากไดร์ฟ USB ในขณะที Win32/Zimuse.B จะใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้น หลังจากที่พวกเมันเข้าไปอยู่ในแฟลชไดรฟ์ นอกจากนี้ มันยังมีการตั้งเวลาทำงานอีกด้วย โดยส่วนของโปรแกรมเขียนทับ MBR ของสายพันธุ์ B จะเร็วกว่าจาก 40 วันเป็น 20 วันหลังจากที่มันติดเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อแล้ว

หากไม่ได้รับการกำจัดอย่างถูกต้อง หนอนจะยกระดับการทำลายที่รุนแรงขึ้นไปอีก จนอาจจะทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ได้เลย ผู้สังเกตการณ์เชื่อว่า หนอนตัวนี้มีวัตถุประสงค์ต้องการแพร่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์ของกลุ่ม แฟนคลับมอเตอร์ไบค์ในสโลวาเกีย แต่เมื่อมันหลุดเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัท การโจมตีจึงแผ่ขยายวงกว้างออกไป อย่างไรก็ตาม ทาง ESET ได้แจกจ่ายชุดซอฟต์แวร์ กำจัดหนอน Zimuse ไว้บนเว็บไซต์แล้ว ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้แล้ว (คลิปข้างล่างนี้แสดงให้พิษสงของหนอนดังกล่าว หลังจากที่ทดลองให้ติดตั้ง และแก้ไขวันทีให้มันทำงาน)


ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=410752

ผลสำรวจเผย"คอเกมส์"เทใจให้ Win 7

ผลสำรวจเผย"คอเกมส์"เทใจให้ Win 7

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] Steam ชุมชนคนรักเกมส์บนพีซีทีใหญ่ที่สุดในโลกได้รายงานเมื่อเดือนธันวาคม 2009 ที่ผ่านมาว่า Windows 7 ระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดของไมโครซอฟท์ กลายเป็นโอเอสยอดนิยมคอเกมส์บนพีซีไปแแล้ว

รายงานผลการสำรวจฮาร์ดแวร์ของคอเกมส์จากเว็บไซต์ Steamนเดือนธันวาคม 2009 พบว่า 23% ของสมาชิกในชุมชนคนเล่นเกมส์ที่ใหญ่ทีสุดในโลกแห่งนี้กำลังใช้ระบบปฏิบัติ การ Windows 7 นอกจากนี้อีก 30% ของผู้ใช้เป็น Windows Vista ที่เหลืออีกประมาณ 45% ยังคงยึดติดอยู่กับ Windows XP นั่นหมายความว่า คอเกมส์ส่วนใหญ่ยังคงรักโอเอสตัวนี้อยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มปันใจไปใช้ Windows 7 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาก็คือ Windows 7 เพิ่งวางตลาดเมื่อเดือนตุลาคม 2009 มันน่าประทับใจมากที่ด้วยระยะเวลาสั้นๆ โอเอสดังกล่าวสามารถครองส่วนแบ่งผู้ใช้ที่เป็นพีซีเกมเมอร์ได้มากขนาดนิ้ (Amazon เคยให้ข่าวว่า Windows 7 เป็นโอเอสที่มียอดจองสูงสุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในร้านอีกด้วย) โจทย์ใหญ่ของ Windows 7 น่าจะอยู่ที่การเปลี่ยนใจผู้ใช้ที่ยังยึดติดอยู่กับ Windows XP ให้ขยับขึ้นมาใช้ Windows 7 มากกว่า Windows Vista ทีมีแนวโน้มของการอัพเกรดชัดเจนอยู่แล้ว


ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=410753

เรื่องน่ารู้ต่างๆเกี่ยวกับ ชนิดต่างๆของ UPS

เรื่องน่ารู้ต่างๆเกี่ยวกับ ชนิดต่างๆของ UPS

“ UPS ” เป็นอุปกรณ์ชนิดแหล่งจ่ายกำลังงานไฟฟ้าประเภทหนึ่ง ที่ช่วยให้อุปกรณ์สามารถมีกำลังงานไฟฟ้าใช้ และ ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการออกแบบใช้งานมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในสมัยก่อนเราใช้งาน UPS เป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษเพื่อแก้ไขคุณภาพกำลังไฟฟ้า ( Power Quality ) โดยมักจะมีการใช้เฉพาะงานที่จำเป็น เช่น ในระบบเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ในเครื่องมือแพทย์ ในเครื่องมือวัดเก็บค่าที่ใช้เวลานาน เป็นต้น และยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนักเนื่องจากราคาสูง แต่ในปัจจุบันซึ่งนับได้ว่าเป็นยุคไอที ได้มีการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากในระบบบริษัท และ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตามบ้านกันมากขึ้น อีกทั้งปัจจัยทางด้านราคาที่ค่อนข้างต่ำของ UPS ในปัจจุบัน ยิ่งส่งเสริมให้ความต้องการใช้งาน UPS มีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงคำว่า UPS เรากล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แต่สำหรับโครงสร้างและการทำงานของ UPS ยังไม่เป็นที่รู้กันมากนัก สำหรับ UPS ที่มีขายในตลาดที่แท้จริงแล้วมี 2 ระบบใหญ่ๆแบ่งตามลักษณะของแหล่งกำลังงานคือ 1. โรตารี่ UPS (Rotary Uninterruptible Power

Supply) ซึ่งใช้พลังงานจากแหล่งน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า และ 2. สเตติก UPS (Static Uninterruptible Power Supply) ซึ่งมีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้า

สำหรับบทความนี้เราจะพิจารณาถึง สเตติก UPS เท่านั้น เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ใกล้ตัวและมีการใช้งานกันอยู่ ซึ่งมีหลายขนาด หลายยี่ห้อ อีกทั้งผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาแตกต่างกันไป ตลอดจนมีการออกสินค้าใหม่ที่มีเทคนิคใหม่ๆออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สร้างความยุ่งยากในการตัดสินใจเลือกซื้ออยู่ไม่น้อย เนื่องจาก UPS ต่างยี่ห้อกันต่างก็ระบุคุณสมบัติ ( Specification ) พื้นฐานที่ใกล้เคียงกันทั้ง อัตราวีเอ ( VA ) ระยะเวลาในการสำรองไฟฟ้า ( Back up Time ) และราคา เพราะเป็นคุณสมบัติที่ผู้ซื้อเข้าใจได้ง่าย ดังนั้นในการเลือกใช้งานควรพิจารณาอย่างไร จึงจะถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เนื่องจาก สเตติก UPS นั้นโดยแท้จริงแล้วสามารถแบ่งออกได้อีกหลายประเภท ตามลักษณะของรูปคลื่น และ โครงสร้างการทำงาน ซึ่งจะเหมาะสมกับการใช้งานกับอุปกรณ์ หรือ ในสภาวะไฟฟ้าที่แตกต่างกันไป

เนื่องจากคุณสมบัติพื้นฐานของ UPS แต่ละรุ่นที่ผู้ผลิตแต่ละรายได้กำหนดออกมานั้นจะมุ่งเน้นที่อัตรา วีเอ และ ระยะเวลาในการสำรองไฟ เป็นหลัก ทำให้การเลือกซื้อ UPS เพื่อใช้งานนั้น ผู้ซื้อส่วนใหญ่จึงมักจะเข้าใจว่าควรพิจารณาจากค่า อัตราวีเอ ระยะเวลาในการสำรองไฟ และราคาที่เหมาะสมก็เพียงพอ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อนำไปใช้งาน ผู้ใช้บางท่านอาจจะพบว่า UPS ไม่สามารถทำงานได้ตรงกับความต้องการ เช่น จ่ายกำลังงานไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอ ไม่สามารถป้องกันสภาวะไฟกระชากได้ เป็นต้น ดังนั้นเราควรรู้จัก ชนิด โครงสร้าง และวิธีการทำงาน พอสังเขป เพื่อให้สามารถใช้เป็นความรู้ประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้จะจำแนกชนิด และการทำงานของ UPS แต่ละแบบเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ฯลฯ

ความต้องการยูพีเอส
ทุกวันนี้ อุปกรณ์ที่ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ผู้คนไม่ค่อยที่จะให้ความสนใจมากนักสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ ยูพีเอส (UPS) โดยเจ้าเครื่องยูพีเอสนี้ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ตัวโปรดของคุณให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ สามารถที่จะป้องกันปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าที่จะทำอันตรายต่ออุปกรณ์ต่อเชื่อมของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดไฟดับ ไฟกระชาก ไฟตก การเกิดโอเวอร์โหลด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อก่อนยูพีเอสนี้ยังไม่เป็นที่สนใจสำหรับนักคอมพิวเตอร์มากนัก เนื่องจากเห็นว่าอุปกรณ์นี้ยังไม่มีความสำคัญกับพวกเขามากสักเท่าไหร่นัก คือคิดว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจนทำให้อุปกรณ์ต่างๆ เกิดความเสียหายขึ้น พวกเขาก็สามารถที่จะส่งอุปกรณ์ไปซ่อมได้ เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวมีประกันอยู่แล้ว แต่ท่านลองคิดดูซิว่าถ้าอุปกรณ์นั้นเกิดหมดระยะประกันขึ้นมาแล้วหละก็ ท่านจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรเพื่อที่จะซื้ออุปกรณ์นั้นมาทดแทนอุปกรณ์ที่เสียไป ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลยใช่ไหมครับ กับการที่จะต้องเสียเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อยูพีเอสสักเครื่องไว้ใช้งานกัน
ที่บอกมานั่นก็เป็นเพียงตัวอย่างที่สามารถที่จะบอกได้ว่ายูพีเอสนั้นมีความสำคัญมากขนาดไหน แต่สำหรับผู้ที่พอจะมีเงินเหลือใช้มากอาจจะบอกว่าเสียไปก็สามารถซื้อใหม่ได้ ที่บอกมานั่นก็มีความจริงอยู่บ้างสำหรับอุปกรณ์อื่นที่ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญค่อนข้างมากอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ หละแล้วท่านจะทำอย่างไร (ซึ่งฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับอันตรายมากที่สุดในการเกิดปัญหาทางไฟฟ้าต่างๆ) จริงอยู่ราคาของฮาร์ดดิสก์นั้นมีราคาที่ลดลงมากแล้ว แต่ฮาร์ดดิสก์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลที่สำคัญต่างๆ ถ้าหากว่าข้อมูลที่สำคัญนี้เกิดสูญหายไปหละ ท่านจะทำอย่างไร อาจจะคงต้องเสียเวลาอีกนานกว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้หรือไม่เพียงเท่านี้อาจจะต้องต้องเสียอะไรอีกหลายๆอย่างตามมาก็เป็นได้
ดังนั้นในการเลือกซื้อยูพีเอสไว้ใช้งานนั้นถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับนักคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าเครื่องยูพีเอสนี้ได้กลายมาเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสำนักงาน หน่วยงาน หรือบริษัทต่างๆไปแล้ว เพราะสามารถที่จะป้องกันอันตรายเกี่ยวกับไฟฟ้าได้ดี สำหรับท่านที่เคยใช้งานยูพีเอสมาแล้ว ท่านคงจะพอรู้ว่าในการเลือกซื้อ เลือกใช้ยูพีเอสนั้นควรต้องทำอย่างไรบ้าง แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับยูพีเอสนี้มาก่อนหละครับ คงทำให้ในการเลือกซื้อเป็นเรื่องที่ยากน่าดูเลยใช่ไหมครับ แต่ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้คงจะทำให้ท่านทราบถึงวิธีการเลือกซื้อยูพีเอสกันมากขึ้นครับ


หลักพิจารณาในการเลือกซื้อยูพีเอส
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสำหรับการเลือกซื้อยูพีเอสนั้น ความจริงแล้วนั้นมีอยู่มากเลยทีเดียว แต่ขอสรุปออกมาเป็นข้อๆ ให้เห็นกันดังนี้ครับ
ชนิดของยูพีเอส
ก่อนอื่นสิ่งที่ท่านควรจะทราบก่อนการเลือกซื้อคือ ท่านต้องทราบว่ายูพีเอสชนิดไหนที่เหมาะกับการใช้งานของท่าน โดยยูพีเอสนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้คือ
1.True Online UPS (Double Conversion UPS) ยูพีเอสแบบนี้เป็นยูพีเอสที่มีความสามารถในการปกป้องอุปกรณ์ต่างๆและคอมพิวเตอร์ของคุณได้ดีที่สุด แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่ค่อนข้างแพงด้วย โดยหลักการทำงานของยูพีเอสชนิดนี้คือ เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆที่ต่อเข้ากับยูพีเอสนี้จะไม่ได้รับกระแสไฟฟ้าโดยตรงจากสายไฟเลย เพราะระบบจะทำการจ่ายกระแสไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ก่อน ก่อนที่จะส่งกระแสไฟที่มีความราบเรียบเข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่อเชื่อมต่างๆ โดยจะมีอุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับเป็นตัวปรับแรงดันไฟให้มีความสม่ำเสมอ ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะเกิดไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชากได้เลย ซึ่งจากที่เครื่องยูพีเอสแบบนี้มีราคาที่แพงมาก จึงไม่เหมาะที่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยทั่วไป ยูพีเอสชนิดนี้เหมาะสำหรับที่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้เช่น เครื่องมือแพทย์, เซิร์ฟเวอร์, ตู้ ATM, ระบบคอมพิวเตอร์สื่อสาร, ระบบคอมพิวเตอร์การเงินหรือธนาคาร เพราะจำเป็นที่จะต้องการคุณภาพของพลังงานไฟฟ้าที่สมบูรณ์

2.Standby UPS (Off line UPS) ยูพีเอสชนิดที่สองนี้ถือได้ว่าเป็นยูพีเอสที่มีราคาที่ถูก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของยูพีเอส มีขนาดเครื่องที่เล็กและมีความซับซ้อนภายในเครื่องน้อยที่สุด โอกาสเสียจึงน้อยแต่ถ้าเกิดเสียขึ้นมาจริงๆก็สามารถที่จะซ่อมได้ไม่ยากนัก แต่ถือว่ามีระดับการป้องกันปัญหาทางด้านไฟฟ้าต่ำด้วย คือสามารถที่จะป้องกันไฟดับได้อย่างเดียว แต่ในปัจจุบันยูพีเอสรุ่นใหม่ๆ จะมีวงจรที่ใช้ในการตรวจสอบความผิดพลาดของกระแสไฟโดยเมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้าขึ้น วงจรก็จะสลับจากการใช้ไฟบ้านเปลี่ยนเป็นไปจากแบตเตอรี่ที่ได้ทำการสำรองไว้ ซึ่งระหว่างการสลับกระแสไฟนี้จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นและอาจทำให้คอมพิวเตอร์เกิดปัญหาขึ้นได้ โดยจะไม่เหมือนกับแบบแรกที่สามารถปรับระดับไฟให้มีความสม่ำเสมอได้เป็นยูพีเอสที่หาได้ยากในปัจจุบันแล้ว

3.Line Interactive UPS สำหรับยูพีเอสแบบนี้เป็นยูพีเอสที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปหรืออาจจะนำมาใช้กับเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็กก็ได้ เป็นยูพีเอสที่มีราคาไม่สูงมาก หาได้ง่ายในปัจจุบัน มีระดับการป้องกันที่ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ความซับซ้อนของอุปกรณ์อยู่ในระดับปานกลาง การซ่อมบำรุงทำได้ไม่ยากนัก ถือได้ว่าเป็นยูพีเอสที่มีคนใช้มากและในปัจจุบันก็มียูพีเอสแบบนี้ออกมาจำหน่ายอย่างมากมาย ในส่วนของการทำงานของยูพีเอสชนิดนี้จะมีการทำงานที่คล้ายๆกับยูพีเอสแบบ Standby แต่จะมีความสามารถที่สูงกว่า จะมีการเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า Stabilizer เข้าไป ซึ่งจะคอยตรวจสอบระดับแรงดันไฟฟ้าที่จะป้อนให้กับอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมและคอยทำหน้าที่ควบคุมระดับแรงดันไฟฟ้าให้มีความสม่ำเสมอตลอด นับว่าเป็นยูพีเอสที่เหมาะสมกับคุณมากเลยทีเดียว


ขนาดของยูพีเอสและการนำไปใช้งาน
ก่อนที่เราจะไปเลือกซื้อยูพีเอสมาใช้งานกัน เราต้องทราบก่อนว่าเราต้องนำยูพีเอสนี้ไปใช้งานในด้านใดด้านใด เมื่อเราทราบแล้วว่าเราต้องการนำยูพีเอสนี้ไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ใด จากนั้นต้องหายูพีเอสที่มีขนาดที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่อเชื่อมของเรา โดยขนาดของยูพีเอสนี้จะมีหน่วยเป็นค่า VA หรือ KVA ซึ่งค่านี้อาจทำให้ท่านสับสนอยู่บ้างเพราะไม่ทราบว่าความจุขนาดนี้เหมาะสมกับการใช้งานขนาดใด ดังนั้นผมจึงมีวิธีการในการคำนวณหาค่า VA ที่เหมาะสมกับการใช้งานของท่านมาฝากกันครับ
ท่านลองประมาณค่าของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นกินไฟสักกี่วัตต์ (Watts) แล้วนำค่าวัตต์นี้ไปหารด้วยค่า Power Factor (ค่านี้สามารถสังเกตได้จากบนเครื่องของยูพีเอส) แล้วท่านจะได้เป็นค่า VA ออกมา แต่ส่วนมากอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปก็จะบอกขนาดวัตต์ให้คุณทราบเลย นอกจากจะใช้วิธีคำนวณเพื่อหาค่า VA ที่เหมาะสมจากข้างบนแล้ว ยังมีวิธีคำนวณอื่นๆด้วย คือ เมื่อท่านทราบว่ายูพีเอสมีขนาดกี่ VA แล้วและมีค่าของ Power Factor แล้ว เราก็นำค่า VA และค่า Power Factor นี้มาคูณกัน เพื่อจะได้ค่าเป็นจำนวนวัตต์ ที่ยูพีเอสตัวนั้นสามารถที่จะรองรับได้
ตัวอย่างการคำนวณ
1.สมมติว่า UPS เครื่องหนึ่งมีขนาดเท่ากับ 500 VA และมีค่า Power factor เท่ากับ 0.8 เราก็สามารถที่จะหาขนาดวัตต์ที่ UPS นี้สามารถรองรับได้ คือ 500x0.8= 400 วัตต์
2.สมมติว่าขนาดของอุปกรณ์ต่อเชื่อมของคุณมีค่า 250 วัตต์ และมีค่า Power factor เท่ากับ 0.8 ก็สามารถที่จะคำนวณได้จาก 250/0.8 ซึ่งเท่ากับ 312.5 VA ดังนั้นคุณก็ควรเลือก UPS ที่มีขนาด 312.5 VA ขึ้นไป ซึ่งขนาดของยูพีเอสที่น้อยสุดในปัจจุบันมีค่า 500VA โดยเป็นค่าที่เหมาะสมมากกับการนำไปใช้งานเล็กๆน้อย ยิ่งจำนวนวัตต์ของคุณมีค่ามากเท่าไหร่ ท่านก็ควรจะหายูพีเอสที่มีค่า VA เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นครับ

ความสามารถในการสำรองไฟ
ท่านคงจะทราบว่ายูพีเอสแต่ละตัวก็จะมีความสามารถในการสำรองไฟฟ้าหรือค่า Backup Time ที่แตกต่างกัน ซึ่งค่านี้หมายความว่า ระยะเวลาที่ยูพีเอสของคุณสามารถที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปให้อุปกรณ์ต่อพ่วงได้ โดยนับหลังจากเกิดกระแสไฟฟ้าดับหรือเหตุขัดข้องเกี่ยวกับไฟฟ้าต่างๆไปจนถึงเวลาที่ยูพีเอสไม่สามารถดึงพลังงานของแบตเตอรี่เพื่อส่งให้อุปกรณ์ต่อพ่วงต่อไปได้ โดยระยะเวลาดังกล่าวนั้นจะมีค่าที่แตกต่างกันออกไปตามความสามารถของยูพีเอสที่ท่านใช้งานอยู่ ซึ่งบางเครื่องอาจสามารถสำรองไฟไว้ได้เป็นเวลานานในช่วงระหว่าง 10 – 30 นาที เป็นต้น ซึ่งในการบอกค่า Backup Time เป็นช่วงเวลานั้นก็เพราะว่าไม่สามารถบอกค่าที่แน่นนอนในการสำรองไฟได้ เพราะเราไม่ทราบว่าอุปกรณ์ที่นำไปต่อเข้ากับยูพีเอสนี้มีจำนวนมากเท่าไร ยิ่งจำนวนของอุปกรณ์ต่อเชื่อมมีจำนวนมากขึ้นเท่าใด ระยะเวลาในการสำรองไฟนั้นก็มีค่าน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นในการเลือกซื้อยูพีเอสจึงควรที่จะหายูพีเอสที่มีระยะเวลาในการสำรองไฟที่มีค่ามากๆ ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดีครับ

จำนวนปลั๊กไฟฟ้าหรือพอร์ตเชื่อมต่อของ UPS
พอร์ตต่างๆนี้ถือว่ามีความสำคัญค่อนข้างมากในการเลือกซื้อยูพีเอสในปัจจุบันของเรา เพราะยิ่งจำนวนของพอร์ตเชื่อมต่อของยูพีเอสมีจำนวนมากขึ้นเท่าไร ก็ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกมากขึ้นเท่านั้น ท่านจึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งหลายจะมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย พอร์ตเชื่อมต่อของยูพีเอสที่ได้ทำการผลิตออกมาให้ผู้บริโภคได้ใช้กันนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีจำนวน 2 พอร์ตขึ้นไป คือเพื่อใช้ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง (เคส 1 พอร์ตและจอมอนิเตอร์อีก 1 พอร์ต) แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิตพอร์ตเหล่านี้เพื่อมากขึ้นเพื่อรองรับกับอุปกรณ์ต่อเชื่อมที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ เช่นเครื่องสแกนเนอร์ และเครื่องพรินเตอร์ แต่อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ค่อยความเสียหายเกิดขึ้นมากเท่าไรเมื่อเกิดความผิดพลาดของกระแสไฟฟ้าขึ้น แต่ถ้ามีไว้ก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหมครับ แต่ยูพีเอสตามท้องตลาดของบ้านเรานั้นได้มีการเพิ่มพอร์ตสำหรับเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับพรินเตอร์เลเซอร์กันมากขึ้น เพราะว่าราคาของพรินเตอร์เลเซอร์นั้นมีราคาที่สูง ข้อเสียของพอร์ตนี้ก็คือไม่สามารถที่จะสำรองไฟไว้ได้
นอกจากพอร์ตที่ได้บอกมานี้ ยังมีพอร์ตอีกชนิดหนึ่งที่คนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเหมือนกันคือ พอร์ตสำหรับเสียบสายโทรศัพท์หรือสำหรับโมเด็ม เพราะพอร์ตเหล่านี้สามารถที่จะป้องกันความเสียหายจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ผ่านเข้ามาทางสายโทรศัพท์ได้ ทำให้ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ดังกล่าวได้อีกขั้นหนึ่ง

ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของ UPS
สิ่งที่ UPS รุ่นใหม่ๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องมีคือซอฟต์แวร์พิเศษที่ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องยูพีเอสนี้ด้วย ซึ่งซอฟแวร์เหล่านี้มีความสำคัญค่อนข้างมากแต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก แต่จะมีความสำคัญในตอนที่ไม่มีใครคอยดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ถ้าเกิดมีไฟดับขึ้นจริงๆและเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน จนไม่มีใครคอย Shutdown เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ ซอฟต์แวร์นี้จะเป็นเสมือนผู้ช่วยที่จะคอย Shutdown คอมพิวเตอร์ให้คุณโดยอัตโนมัติ นอกจากความสามารถที่บอกแล้วเจ้าซอฟต์แวร์นี้สามารถที่จะบันทึกข้อมูลที่สำคัญของคุณไว้ได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ทางไฟฟ้าขึ้น และสามารถที่จะรายงานผลการทำงานของยูพีเอสหรือสามารถที่จะตั้งเวลา Shutdown ในเวลาที่คุณกำหนดได้


การรับประกันของ UPS
ที่หลายๆ คนมองข้ามความสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือเรื่องของการรับประกันของยูพีเอสนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้สามารถที่จะประกันได้ว่ายูพีเอสจะมีความปลอดภัยและสามารถที่จะใช้งานได้ อย่างมั่นใจ เพราะถ้ายูพีเอสเกิดมีปัญหาขึ้นและยังอยู่ในประกันอยู่ คุณก็สามารถที่จะส่งซ่อมหรือเปลี่ยนยูพีเอสตัวใหม่มาใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ระยะเวลาการประกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ายูพีเอสของคุณนั้นมีการรับประกันกี่ปี แต่อย่างน้อยควรมีการรับประกัน 1 ปีหรือมากว่านั้นก็ยิ่งดีครับ แต่ยูพีเอสบางยี่ห้อนั้นอาจมีการรับประกันที่แตกต่างกันคือ อาจจะมีการรับประกันแบตเตอรี่หรือบางร้านอาจไม่มีก็ได้ ดังนั้นจึงควรสอบถามรายละเอียดเหล่านี้ให้มีความเข้าใจเสียก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลังได้ครับ

คุณสมบัติต่างๆ
สิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคเห็นว่ายูพีเอสนี้มีคุณภาพนั้นก็คือ มาตรฐานของยูพีเอส ที่ยูพีเอสนี้ได้รับ เช่น มาตรฐาน ISO 9001 หรือมาตรฐาน มอก. เป็นต้น
แบตเตอรี่ จริงๆแล้วเมื่อท่านซื้อยูพีเอสมาก็จะมีแบตเตอรี่อยู่ภายในยูพีเอสนั้นแล้ว แต่เมื่อแบตเตอรี่เกิดเสื่อมขึ้นมา จึงจำเป็นต้องหายูพีเอสใหม่มาทดแทน ดังนั้นควรจะเลือกแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ เพราะจะทำให้มีคุณภาพในการสำรองไฟเพิ่มมากขึ้น และมีอายุการใช้งานเพิ่มมากขึ้น
ฟังก์ชันพิเศษของยูพีเอส ยูพีเอสที่ดีนั้นควรจะต้องมีไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่องเพื่อที่จะทำให้ทราบว่าตอนนี้เครื่องอยู่ในสถานะใด อีกทั้งยังทำให้สามารถสังเกตเห็นสถานะการทำงานได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยูพีเอสที่ดีควรต้องมีเสียงเตือนเมื่ออยู่ในสภาวะอันตรายของยูพีเอส เช่นมีเสียงเตือนว่าไฟในแบตเตอรี่กำลังจะหมด เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน


รูปทรง ขนาดของยูพีเอสก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ควรต้องเลือกยูพีเอสที่มีขนาดและรูปทรงที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ และต้องดูว่าสถานที่จะท่านจะนำยูพีเอสนี้ไปใช้มีขนาดของพื้นที่มากน้อยเท่าไรด้วย เพื่อที่จะได้มียูพีเอสที่มีขนาดที่เหมาะสมไว้ใช้งานกัน


ที่มา http://202.143.163.252

ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ Operating System

ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ

ดอส ( DOS; ย่อมากจาก D isk O perating S ystem)

เป็นชื่อเรียก ระบบปฏิบัติการ หลายตัวที่พัฒนาโดย ไอบีเอ็ม และ ไมโครซอฟท์ ในช่วงปี พ.ศ. 2524 - พ.ศ. 2538 (โดยถ้ารวมดอสในวินโดวส์ จะนับถึงปี พ.ศ. 2543) ตัวอย่างของระบบปฏิบัติการนี้เช่น PC-DOS, MS-DOS, FreeDOS, DR-DOS, Novell-DOS, OpenDOS, PTS-DOS, ROM-DOS เนื่องจากดอสมีผู้ผลิตหลายเจ้า เช่น PC-DOS จากไอบีเอ็ม และ MS-DOS จากไมโครซอฟท์ เป็นต้น และดอสอื่นๆ ระบบปฏิบัติการดอสทั้งหมดทำงานภายใต้เครื่อง ไอบีเอ็มพีซี เสมือน ที่ใช้ ซีพียู อินเทล x 86

ลินุกซ์ ( Linux) และรู้จักในชื่อ กนู/ลินุกซ์ ( GNU/Linux)
คือ ระบบปฏิบัติการ ที่นิยมตัวหนึ่งในฐานะ ซอฟต์แวร์เสรี และซอฟต์แวร์ โอเพนซอร์ส ลินุกซ์มีลักษณะคล้ายระบบปฏิบัติการ ยูนิกซ์ โดยมี ลินุกซ์ เคอร์เนล เป็นศูนย์กลางทำงานร่วมกับ ไลบรารี และเครื่องมืออื่น ลินุกซ์นิยมจำหน่ายหรือแจกฟรีในลักษณะเป็นแพคเกจ โดยผู้จัดทำจะรวม ซอฟต์แวร์ สำหรับใช้งานในด้านอื่นเป็นชุดเข้าด้วยกัน
เริ่มแรกของของลินุกซ์พัฒนาและใช้งานในเฉพาะกลุ่มผู้ที่สนใจ ซึ่งในปัจจุบันลินุกซ์ได้รับความนิยมเนื่องมาจากระบบการทำงานที่เป็นอิสระ ปลอดภัย เชื่อถือได้ และราคาต่ำ จึงได้มีการพัฒนาจากองค์กรต่างๆ เช่น ไอบีเอ็ม ฮิวเลตต์-แพกการ์ด และ โนเวลล์ ใช้สำหรับในระบบ เซิร์ฟเวอร์ และ พีซี เริ่มแรกลินุกซ์พัฒนาสำหรับใช้กับเครื่อง อินเทล 386 ไมโครโพรเซสเซอร์ หลังจากที่ได้รับความนิยมปัจจุบัน ลินุกซ์ได้พัฒนารับรองการใช้งานของระบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ในระบบต่างๆ รวมถึงในโทรศัพท์มือถือ และ กล้องวีดีโอ
ลินุกซ์มี สัญญาอนุญาต แบบ GPL ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตที่กำหนดให้ผู้ที่นำโค้ดไปใช้ต้องใช้สัญญาอนุญาตแบบเดิมต่อคือใช้สัญญาอนุญาต GPL เช่นเดียวกัน ซึ่งลักษณะสัญญาอนุญาตแบบนี้เรียกว่า copyleft

แมคโอเอส ( Mac OS)
เป็น ระบบปฏิบัติการ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช โดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ของ บรรษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ . แมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มี ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบกราฟิก ( GUI) รายแรกที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ รุ่นแรกๆ ของระบบปฏิบัติการนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อแมคโอเอส , อันที่จริงระบบปฏิบัติการนี้ในรุ่นแรกๆ ยังไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำ. ทีมพัฒนาแมคโอเอสประกอบด้วย บิลล์ แอตคินสัน , เจฟ รัสกิน , แอนดี เฮิตซ์เฟลด์ และคนอื่นๆ


ระบบปฏิบัติการ DOS เป็นอย่างไร
ระบบปฏิบัติการ (operating system) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบซอฟต์แวร์
ระบบปฏิบัติการประกอบขึ้นจากชุดโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินการต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ และประสานการทำงานระหว่างทรัพยากรต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งส่วนที่เป็นซอฟต์แวร์และส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์ให้เป็นไปย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ระบบคอมพิวเตอร์ในระดับไมโครคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปใช้ระบบปฏิบัติการที่จัดเก็บอยู่บนแผ่นบันทึกหรือฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ เอ็มเอสดอส (Microsort Disk Operating System : MS-DOS) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟต์คอร์ปอเรชัน ระบบปฏิบัติการนี้ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการของผู้ใช้และพัฒนาการทางด้านซอฟต์แวร์และฮารด์แวร์

การเริ่มต้นทำงานของระบบปฏิบัติการดอส
การเริ่มต้นทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จะเริ่มต้นโดยอัตโนมัติจากส่วนของชุดคำสั่ง
ที่จัดเก็บอยู่ บนหน่วยความจำของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้อ่านได้อย่างเดียวที่เรียกว่ารอม (Read Only Memory : ROM) คำสั่งเหล่านี้จะทำหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์พื้นฐานและทำการบรรจุระบบปฏิบัติการจากแผ่นบันทึกหรือฮาร์ดดิสก์ ขึ้นสู่หน่วยความจำหลัก หลังจากนี้การควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จะถูกบรรจ ุไปอยู่บนหน่วยความจำหลักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โปรแกรมหนึ่งในระบบปฏิบัติการดอสที่ถูกบรรจุคือ โปรแกรมคำสั่งที่มีชื่อว่า command.com และกระบวนการเริ่มต้นการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนี้เรียกกันทั่วไปว่า การบูทเครื่อง (boot) คอมพิวเตอร์

ชนิดคำสั่ง DOS
คำสั่งของ DOS มีอยู่ 2 ชนิดคือ
1. คำสั่งภายใน (Internal Command) เป็นคำสั่งที่เรียกใช้ได้ทันทีตลอดเวลาที่
เครื่องเปิดใช้งานอยู่ เพราะคำสั่งประเภทนี้ถูกบรรจุลงในหน่วยความจำหลัก (ROM) ตลอดเวลา หลังจากที่ Boot DOS ส่วนมากจะเป็นคำสั่งที่ใช้อยู่เสมอ เช่น CLS, DIR, COPY, REN เป็นต้น
2. คำสั่งภายนอก (External Command) คำสั่งนี้จะถูกเก็บไว้ในดิสก์หรือแผ่น DOS
คำสั่งเหล่านี้จะไม่ถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำ เมื่อต้องการใช้คำสั่งเหล่านี้คอมพิวเตอร์จะเรียกคำสั่งเข้าสู่หน่วยความจำ ถ้าแผ่นดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์ไม่มีคำสั่งที่ต้องการใช้อยู่ก็ไม่สามารถเรียกคำสั่งนั้น ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น คำสั่ง FORMAT, DISKCOPY, TREE, DELTREE เป็นต้น

รูปแบบและการใช้คำสั่งต่าง ๆ
ในการใช้คำสั่งต่าง ๆ ของ DOS จะมีการกำหนดอักษรหรือสัญลักษณ์ ใช้แทน
คำสั่งภายนอก(EXTERNAL COMMAND)
คำสั่งภายนอกมี 2 นามสกุล
1.นามสกุลเป็น .COM เป็น file ที่บรรจุข้อมูลที่ถูกแปลงเป็นภาษาเครื่องแล้ว
2.นามสกุลเป็น .EXE เป็น file ที่บรรจุข้อมูลที่เขียนโดยใช้ภาษาระดับสูงและแปลงเป็นภาษาเครื่องแล้ว

ที่มา www.satriwit.ac.th

หน้าที่ของระบบปฏิบัติการ

หน้าที่ของระบบปฏิบัติการ

1. การติดต่อกับผู้ใช้ หรือยูเซอร์อินเทอร์เฟซ (User interface) ผู้ใช้สามารถสั่งให้
คอมพิวเตอร์ทำงาน จึงเป็นหน้าที่ของระบบปฏิบัติการในเป็นตัวกลาง และเตรียมสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้กับผู้ใช้ในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นจะใช้คำสั่งผ่านทาง System call เพื่อปฏิบัติสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ ใช้สามารถติดต่อหรือควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางระบบปฏิบัติการได้ โดยระบบปฏิบัติการจะเครื่องหมายพร้อมต์ (prompt) ออกทางจอภาพเพื่อรอรับคำสั่งจากผู้ใช้โดยตรง ตัวระบบปฏิบัติการจึงเป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้กับฮาร์ดแวร์ของเครื่อง นอกจากนี้ผู้ใช้อาจเขียนโปรแกรมเพื่อใช้งานกรณีนี้ผู้ใช้ก็สามารถติดต่อกับระบบปฏิบัติการได้โดยผ่านทาง System Call

2 ควบุคมดูแลอุปกรณ์ (Control devices) ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ควบคุม
อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ทำงานสอดคล้องกับความต้องการ โดยไม่เกิดข้อผิดพลาด เช่นการควบคุมดิสก์ จอภาพ หรือซีดีรอม เป็นต้น ระบบปฏิบัติการจะรับคำสั่งจากผู้ใช้ และเรียกใช้ System call ขึ้นมาทำงาน ให้ได้ผลตามต้องการ ให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่าย เช่น การเข้าถึงข้อมูลในแฟ้มหรือติดต่อกับอุปกรณ์รับ/แสดงผลข้อมูล จึงทำให้ผู้พัฒนาโปรแกรมไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมตัวขับดิสก์เพราะระบบปฏิบัติการจัดบริการให้มีคำสั่งสำหรับติดต่อกับอุปกรณ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายๆเนื่องจากผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางระบบปฏิบัติการ อาจไม่มีความจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงหลักการทำงานภายในของเครื่อง
ดังนั้น ระบบปฏิบัติการจึงมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของโปรแกรม การทำงานของ
อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้การทำงานของระบบเป็นไปอย่างถูกต้องและสอดคล้องกัน ระบบปฏิบัติการจึงมีส่วนประกอบของหน้าที่ต่างๆ ที่ควบคุมอุปกรณ์แต่ละชนิดที่มีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยผู้ใช้อาจเรียกใช้ผ่านทาง System Call หรือเขียนโปรแกรมขึ้นมาควบคุมอุปกรณ์เหล่านั้น

3. จัดสรรทรัพยากร หรือรีซอร์สระบบ (Resources management) เพราะ
ทรัพยากรของระบบมีจำกัด และมีหลายประเภท ระบบปฏิบัติการต้องบริการให้ผู้ใช้ ได้ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างทรัพยากร ที่ระบบปฏิบัติการต้องจัดการ เช่น ซีพียู หน่วยความจำ ซีดีรอม เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
ทรัพยากรหลักที่ต้องมีการจัดสรร ได้แก่ หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำหลัก
อุปกรณ์รับ/แสดงผลข้อมูล และแฟ้มข้อมูล เช่น การจัดลำดับให้บริการใช้เครื่องพิมพ์การสับหลีกงานหลายงานในหน่วยความจำหลักและการจัดสรรหน่วยความจำหลักให้กับโปรแกรมทั้งหลาย ทรัพยากร คือสิ่งที่ซึ่งถูกใช้ไปเพื่อให้โปรแกรมดำเนินไป

ที่มา
www.satriwit.ac.th

ความหมายของระบบปฏิบัติการ (Operating System)

ความหมายของระบบปฏิบัติการในเบื้องต้น คือ โปรแกรม ที่จัดการคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ โดยทำหน้าที่ให้การสนับสนุนการประมวลผลในเบื้องต้น และทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ และคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ทำงานด้วยกัน อย่างราบรื่น จากความหมายข้างต้น ทำให้ทราบว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมีระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกส่วนหนึ่ง โดยปกติคอมพิวเตอร์จะมีส่วนประกอบสำคัญแยกกันได้ 4 ส่วนคือ hardware, operating system, application program และ users


ความหมายของระบบปฏิบัติการ
ดร. ยรรยง เต็งอำนวย กลุ่มโปรแกรมซึ่งได้รับการจัดระเบียบให้เป็นส่วนเชื่อมโยง

ระหว่างเครื่องและผู้ใช้ โดยจะเอื้ออำนวยการพัฒนาและการใช้โปรแกรมต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้มีประสิทธิผลที่ดี

มงคล อัศวโกวิทกรณ์ กลุ่มโปรแกรมงานที่มีความสามารถสูง เช่น ช่วยในการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบ และควบคุมจังหวะการทำงานของโปรแกรมที่กำลังรันอยู่เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาดและรวมถึงควบคุม System Software


ที่มา www.satriwit.ac.th

Cache นั้นสำคัญไฉน

Cache คืออะไร? และ ที่มาของ Cache

Cache นั้น ถ้าว่ากันตามหลักการ มันก็คือ หน่วยความจำชนิดหนึ่ง ซึ่งจะมีความเร็วในการเข้าถึง และการถ่ายโอนข้อมูล ที่สูง โดยจะมีหน้าที่ในการเก็บ พัก ข้อมูลที่มีการใช้งานบ่อยๆ เพื่อเวลาที่ CPU ต้องการใช้ข้อมูลนั้นๆ จะได้ค้นหาได้เร็ว โดยที่ไม่จำเป็น ที่จะต้องไปค้นหาจากข้อมูลทั้งหมด
เปรียบเทียบกันง่ายๆ ก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ แล้วเวลาที่เจอข้อความที่น่าสนใจ ก็ทำการจดบันทึกไว้ที่สมุด แล้วเมื่อเวลาต้องการ ข้อมูลนั้นๆ ก็สามารถค้นหาจากในสมุดจดได้ง่ายกว่า เปิดหาจากหนังสือทั้งเล่ม แน่นอน ข้อมูลที่จดลงในสมุดนั้น มีขนาดน้อยกว่า ในหนังสือแน่ๆ คงไม่มีใครที่จะลอกข้อมูล ทุกบรรทัด ทุกหน้าของหนังสือ ลงในสมุดจดเป็นแน่แท้
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในปัจจุบัน เราจะพบการใช้งาน Cache อยู่ 2 แบบ นั่นก็คือ Memory Cache และ Disk Cache โดยที่หลักการทำงานของทั้ง 2 ชนิดนี้ก็คล้ายๆ กัน กล่าวคือ Disk Cache นั้น จะเป็นการอ่านข้อมูลที่ต้องการใช้งานเข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก เมื่อ CPU มีการเรียกใช้งาน ก็จะเข้าไปค้นหาในหน่วยความจำหลักก่อน หากว่าไม่พบจึงจะไปค้นหาใน Harddisk ต่อไป และ ในกรณีของ Memory Cache นั้น ก็เป็นอีกลำดับขั้นหนึ่งถัดจาก Disk Cache นั่นก็คือ จะทำการดึงข้อมูลที่มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ เข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำ ขนาดเล็ก ที่มีความไวสูงกว่าหน่วยความจำหลัก เมื่อ CPU ต้องการใช้งาน ก็จะมองหาข้อมูลที่ต้องการที่ หน่วยความจำขนาดเล็กนั้นก่อน ก่อนที่จะเข้าไปหาในหน่วยความจำหลักที่ มีการเข้าถึงและการส่งถ่ายข้อมูลที่ช้ากว่าต่อไป และ หน่วยความจำขนาดเล็กๆ นั้น เราก็เรียกมันว่า Cache นั่นเอง
สำหรับในบทความนี้ เราจะพูดถึงเรื่อง Memory Cache กันอย่างเดียว เพราะฉะนั้นผมจะขอเรียกแค่สั้นๆว่า Cache ก็ขอให้เป็นอันเข้าใจตรงกัน ว่ามันหมายถึง Memory Cache

Cache นั้น ตำแหน่งของมัน จะอยู่ระหว่าง CPU กับ หน่วยความจำหลัก โดยมันจะทำการดึง หรือ เก็บข้อมูลที่มีการเรียกใช้งาน
บ่อยๆ จากหน่วยความจำหลัก ซึ่งความไวในการอ่าน หรือ ส่งถ่ายข้อมูลจาก Cache ไปยัง CPU หรือ จาก CPU ไปยัง Cache นั้น จะทำได้เร็วกว่า จากหน่วยความจำหลักไปยัง CPU หรือจาก CPU ไปยังหน่วยความจำหลัก มาก เพราะทำด้วย SRAM ซึ่งมีความไวสูง และมีราคาแพงกว่าหน่วยความจำของระบบที่เป็น DRAM อยู่มาก และก็เพราะราคาที่แพงนี้ ทำให้ขนาดของ Cache ที่ใช้ในระบบ จึงมีขนาดน้อยกว่าหน่วยความจำหลักอยู่มากเช่นกัน
DRAM หรือ Dynamic RAM นั้นจะทำการเก็บข้อมูลในตัวเก็บประจุ ( Capacitor ) ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการ refresh เพื่อ เก็บข้อมูลให้คงอยู่ โดยการ refresh นี้ ทำให้เกิดการหน่วงเวลาขึ้นในการเข้าถึงข้อมูล และก็เนื่อง จากที่มันต้อง refresh ตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้เอง จึงเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า Dynamic RAM
ส่วน SRAM นั้นจะต่างจาก DRAM ตรงที่ว่า DRAM จะต้องทำการ refresh ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่ SRAM จะเก็บข้อมูลนั้นๆ ไว้ และจะไม่ทำการ refresh โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันจะทำการ refresh ก็ต่อเมื่อ สั่งให้มัน refresh เท่านั้น ซึ่งข้อดีของมัน ก็คือความเร็ว ที่เร็วกว่า DRAM ปกติมาก แต่ก็ด้วยราคาที่สูงกว่ามาก จึงเป็นข้อด้อยของมันเช่นกัน
จากที่กล่าวมาข้างต้น ก็ดูเหมือนว่า Cache นั้น มีความสำคัญ ต่อความเร็วของระบบอยู่ไม่ใช่น้อย แล้วทำไมเราถึงเพิ่งจะให้ความสำคัญกับมันล่ะ? เพราะว่า เพิ่งมีการใช้ Cache กับ CPU รุ่นใหม่ๆ อย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย จริงๆแล้ว เรามีการใช้ Cache มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่รุ่น 80486 ซึ่งสมัยนั้นทาง Intel ก็ได้เริ่มมีการใส่ Cache ให้กับ CPU ของตน โดยเริ่มใส่ขนาด 8KB ในรุ่น 486DX-33 และ ได้ทำการเพิ่มเป็น 16KB ในรุ่น 486DX4 เป็นต้นมา ซึ่ง Cache ที่ใส่ไปนั้น ได้ใส่เข้าไปในแกนหลักของ CPU เลย ทำให้การติดต่อระหว่าง CPU กับ Cache นั้น ทำได้เร็วมาก และมีการใช้ Cache อีกขั้นหนึ่ง โดยใส่ไว้ที่ Mainboard ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า แต่ช้ากว่า Cache ที่ใส่ไว้ในแกน CPU
เมื่อ CPU ต้องการข้อมูลใดๆ ก็จะทำการค้นหาจาก Cache ที่อยู่ภายในแกน CPU ก่อน หากว่าพบข้อมูลที่ต้องการ ( เรียกว่า Cache Hit) ก็จะดึงข้อมูลนั้นๆ มาใช้งานได้เลย แต่หากไม่พบ ( เรียกว่า Cache Miss ) ก็จะทำการค้นหาในส่วนของ Cache ที่อยู่บน Mainboard ต่อไป และ หากว่ายังไม่พบอีก ก็จะไปค้นหาในหน่วยความจำหลักต่อไปอีกขั้น และหากว่าในหน่วยความจำหลักนั้น ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ต้องการ ก็จะไปค้นหาต่อใน Harddisk ต่อไป
ด้วยตำแหน่งในการเก็บ Cache ที่ต่างกัน และ ลำดับขั้นในการเรียกใช้งานต่างกัน จึงเรียก Cache ที่อยู่ในแกนของ CPU ว่า Internal Cache หรือ Level 1 Cache ( L1 Cache ) และ เรียก Cache ที่อยู่บน Mainboard นั้นว่าเป็น External Cache หรือ Level 2 Cache ( L2 Cache )
ต่อมา ใน CPU รุ่น Pentium ของ Intel นั้น ก็ได้ทำการแบ่ง Cache ภายใน ออกเป็น 2 ส่วนเพื่อแยกการทำงานกัน ซึ่งก็ได้แบ่งจาก 16KB นี้ ออกเป็น 8KB เพื่อใช้ เก็บคำสั่งต่างๆ เรียกว่า Instruction Cache และ อีก 8KB เพื่อใช้เก็บข้อมูลต่างๆ เรียกว่า Data Cache
และต่อมา CPU ในรุ่น Pentium II ของทาง Intel นั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งการเก็บ Cache ระดับ 2 ซึ่งจากปกติจะจัดเก็บไว้ บน Mainboard ก็ทำการย้าย มาเก็บไว้บน Package เดียวกับ CPU ( CPU Intel Pentium II นั้น จะมีลักษณะเป็น Cartridge แผ่นกว้างๆ มี CPU อยู่ตรงกลางและ เก็บ Cache ไว้ข้างๆ แล้วรวมกันเป็น Package เดียวกัน เรียกว่า Single Edge Contact Cartridge หรือ SECC แต่ก็ยังคงเรียก Cache ที่อยู่บน SECC ว่าเป็น External Cache หรือ Level 2 Cache เช่นเดิม เพราะยังคง อยู่ภายนอกตัว CPU เพียงแค่อยู่บน Package เดียวกันเท่านั้น
แต่ด้วยราคาที่สูงมากของ CPU Pentium II ในสมัยที่เพิ่งวางตลาดนั้น ทำให้มีผู้ที่มีอำนาจในการซื้อมาใช้งานน้อย ทาง Intel จึงได้ตัด Cache ระดับ 2 ออก จาก Pentium II เพื่อลดต้นทุนการผลิต และ เปลี่ยนรูปแบบ Package ให้ดูบางลง แล้วเรียก CPU ใหม่นี้ว่า Celeron และ เรียก Package ของ Celeron ว่า Single Edge Processor Package
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมาแล้วว่า Cache นั้นมีราคาสูง เพราะฉะนั้น เมื่อตัด Cache ระดับ 2 ออกทำให้ราคาของ Celeron ถูกกว่า Pentium II อยู่มาก และ ทาง Intel ก็หวังจะใช้ Celeron ที่ราคาถูกนั้น ตีตลาดระดับกลาง และ ระดับล่าง
แต่แล้วก็ฝันสลาย เพราะ Celeron ที่ไม่มี Cache นั้น ในด้านการเล่นเกมส์ ที่ไม่มีการเรียกใช้ Cache เท่าไร ทำคะแนน หรือ มีความสามารถ เทียบเท่ากับ Pentium II ที่ระดับความเร็วเท่าๆ กัน แต่ ในงานด้าน Office Application เช่น Microsoft Word, Microsoft Excell กลับทำได้แย่มากๆ จากที่เห็นก็คือ Celeron ที่ความเร็ว 300 MHz นั้น เมื่อใช้งานกับ Application ดังกล่าว กลับช้ากว่า Pentium MMX 233 เสียอีก ทำให้ Celeron รุ่นดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก
ทาง Intel จึงได้ผลิต Celeron รุ่นใหม่ที่ได้เติม Cache ระดับ 2 เข้าไปด้วย โดยให้มีขนาดเพียง 1/4 ของ Pentium II แต่ให้ทำงานด้วย ความเร็วเท่ากับ ความเร็วของ CPU ( Cache ระดับ 2 ของ Pentium II นั้นจะทำงานที่ความเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU ) และเพียงแค่เพิ่ม Cache ระดับ 2 เข้าไปนี้เอง ผลคะแนนที่ได้จากการทำงานกับ Application ดังกล่าวนั้น กลับเพิ่มขึ้นมามาก ต่างจาก รุ่นเดิมที่ไม่มี Cache อย่างเห็นได้ชัด
นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ Cache เริ่มเป็นที่สนใจ มากขึ้น แต่ยังไม่หมดเท่านี้ อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เรื่องของ Cache นั้น เป็นที่กล่าวถึง กันมากขึ้นในขณะนี้ เกิดจากการประกาศตัวของ AMD K6-III
AMD K6-III มีอะไรดี ถึงทำให้เรื่องของ Cache เป็นที่น่าสนใจนัก อันนี้คงต้องเท้าความกลับไปอีกสักนิดหนึ่งก่อน ว่า CPU ของ AMD นั้นก็มีการใช้ Internal Cache และ External Cache เช่นเดียวกับ CPU ของ Intel มาโดยตลอด เมื่อ Intel เปลี่ยนสถาปัตยกรรมใหม่ เอา Cache ไปไว้บน Package ของ CPU และไม่มีการใช้ Cache บน Mainboard อีกต่อไป แต่ทาง AMD ก็ยังคงใช้งานบน สถาปัตยกรรมเดิม คือมี Internal Cache ภายใน CPU และมี External Cache อยู่บน Mainboard เรื่อยมา จนถึงรุ่น AMD K6-2
พอมา AMD K6-III ( หรือก็คือ AMD K6-3 แต่มีการเปลี่ยนชื่อ เพื่อให้สอดคล้องกับ Intel Pentium III ) ทาง AMD ก็ได้ทำการ เพิ่ม Cache เข้าไปที่ Package ของ CPU บ้าง ( แต่ไม่ได้รวมเข้าไปในแกนของ CPU ) และ ก็ยังคงให้มี Cache บน Mainboard เช่นเดิม ดังนั้น จึงเกิดมีการใช้งาน Cache ถึง 3 ระดับด้วยกัน ( เรียกว่า Tri-Level Cache ) โดย ระดับแรกสุดนั้น ก็คือ Cache ที่อยู่ภายในแกนของ CPU เลย ระดับถัดมา ก็อยู่บน Package ของ CPU และ ระดับสุดท้ายอยู่บน Mainboard ซึ่งขนาดของ Cache ก็จะมากขึ้นตามลำดับ ในขณะที่ความเร็วในการใช้งานกลับลดลงตามลำดับ
และนี่เอง จึงทำให้เรื่องของ Cache นั้นเป็นที่น่าสนใจยิ่งนัก ทั้งเรื่องที่ว่า ขนาดของ Cache ที่มีใน Celeron มีน้อย แต่ทำงานด้วยความเร็วสูง เท่ากับความเร็ว CPU ส่วน Pentium II มี Cache มากกว่า Celeron แต่ทำงานด้วยความเร็วเป็นครึ่งหนึ่ง ของ CPU อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ขนาด หรือ ความเร็ว? และ เรื่องของ Tri-Level Cache ใน AMD K6-III นั้น จะทำให้ระบบเร็วขึ้นจริงไหม? มี Cache หลายระดับดีกว่าไหม?
เราจะมาดูกันต่อไป ถึงรายละเอียด และ ความสำคัญของ Cache ในแต่ละระดับกันต่อไป

Cache ระดับ 1 ( Level 1 cache )
Cache ระดับ 1 นั้น จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และตำแหน่งของมันก็จะอยู่ใกล้ๆ กับตัว CPU ที่สุด ทำให้ CPU สามารถเข้าถึงได้
รวดเร็วมาก ซึ่งโดยปกติแล้วขนาดของมัน ก็จะไม่ใหญ่นัก เช่น สำหรับ CPU Intel Pentium II หรือ Intel Celeron จะมี L1 Cache ขนาดเพียง 32 KB และ บน AMD K6-2 จะมีขนาด 64 KB ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีขนาดเพียง เล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญมาก
Level 1 cache นั้น จะทำงานด้วยความเร็วที่เท่ากับ CPU เลย ( คงเพราะฝังอยู่ในตัว CPU ) และ สำหรับกว่าที่ว่า ยิ่งมี Cache มากๆ ก็จะยิ่งเร็วกว่า แน่นอนว่า คำกล่าวนี้เป็นจริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดทุกกรณี เพราะว่ามีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย ดังจะเห็นได้จาก L1 cache ของ Intel Pentium II ซึ่ง มี ขนาดเพียง 32 KB แต่มีการเข้าถึงได้ 4 ทิศทาง ( 4 way associative ) ในขณะที่ AMD K6-2 จะมี L1 cache ขนาด 64 KB แต่มี การเข้าถึงได้เพียง 2 ทิศทาง ( 2 way associative ) ซึ่งในกรณีของการเข้าถึงแบบสุ่มนั้น Intel จะทำได้เร็วกว่า AMD

Cache ระดับ 2 ( Level 2 cache )
ส่วนถัดมาในการค้นหาข้อมูลของ CPU เมื่อค้นหาใน Cache ระดับ 1 ไม่พบ ก็คือ Cache ระดับ 2 ซึ่ง ขนาดของ Level 2 Cache นั้น ก็จะต่างกัน ตามรุ่น และ ชนิดของ CPU นั้นๆ ซึ่ง ก็แน่นอน จะมีความของความเร็วแตกต่างกันไปด้วย
จากที่กล่าวมาแล้วเมื่อตอนต้นๆ ถึงเรื่องของ Celeron กับ Pentium II ที่ว่า Celeron นั้นมี Cache ระดับ 2 เพียง 128 KB แต่
ทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU ส่วน Pentium II จะมี Cache ระดับ 2 ถึง 512 KB แต่ทำงานด้วย ความเร็วเพียง ครึ่งหนึ่งของความเร็วของ CPU แล้วอย่างไหน สำคัญกว่ากัน ความเร็ว หรือว่าขนาด อย่างไรก็ตาม ขนาดของ Level 2 cache นั้น ก็ยังเป็นจุดหลักสำคัญของ Performance เพื่อลดการ access disk โดยการอ่านข้อมูลมาเก็บไว้ที่ RAM และนำส่วนสำคัญๆ ที่ใช้บ่อยๆ มาเก็บที่ Cache นั้น ถ้า Cache มีขนาดที่ใหญ่ๆ การที่จะต้องอ่านข้อมูลจาก RAM ซึ่งช้ากว่า Cache นั้น ก็ทำได้ดีกว่า ยิ่งกับระบบ Network-File-Server นั้น ยิ่งมี Cache มากๆ และ เร็วๆ จะยิ่งดี ดังนั้น Intel Pentium II Xeon จึงมี L2 Cache 512K หรือมากกว่านั้น และ ทำงานที่ความเร็วเท่าๆ กับ CPU
สำหรับ AMD K6, K6-2 นั้น ใช้ cache ซึ่งอยู่บน Mainboard ซึ่ง ความเร็วสูงสุด ก็ตาม FSB ที่ใช้ เช่น K6-2 300 MHz นั้น Level 2 Cache ก็จะมี ความเร็ว ที่ 100 MHz ( FSB 100 MHz ) แต่ Intel Pentium II - 300 MHz นั้น จะมี Level 2 Cache ที่ความเร็ว 150 MHz และ Celeron 300A จะมี Level 2 Cache ที่มีความเร็วถึง 300 MHz ซึ่งสำหรับ AMD K6-2 กับ Pentium II นั้น ดูไม่แตกต่างเท่าไร แต่หากว่า เป็น Pentium II 400 ล่ะ จะมี Levl 2 Cache ที่ทำงานที่ 200 MHz ในขณะที่ AMD K6-2 400 MHz ก็ยังใช้ Cache ที่ทำงานด้วยความเร็ว 100 MHz เช่นเดิม นั่นก็เป็นส่วนสำคัญจุดหนึ่งที่ทำให้ผล Performance ในเรื่อง Memory Performance ของ AMD ด้อยกว่า Intel Pentium II และ Celeron
แต่ในสำหรับ AMD K6-3 นั้น ทาง AMD ได้รวม Level 2 cache เข้ากับ Package เดียวกับ CPU เลย โดยเก็บฝังไว้บนตัวของ CPU เช่นเดียวกับ Celeron แต่มีขนาดเป็น 2 เท่า และ ทำงานที่ความเร็วเท่าๆ กับ CPU ซึ่งก็ทำให้ AMD K6-3 นั้น มี L2 cache มากกว่าถึง Celeron 2 เท่า และ มี Level 2 cache ที่ความเร็วเป็น 2 เท่าของ Pentium II ( ที่ความเร็วเท่าๆกัน )

Cache ระดับ 3 ( Level 3 cache )
AMD K6-III นั้น มีจุดที่น่าสนใจมากๆ อย่างหนึ่ง นั้นก็คือ K6-III นั้นจะมี Level 2 cache ฝังอยู่ใน chip CPU มาด้วย แต่ในขณะเดียวกัน Mainboard ที่ใช้สำหรับ AMD K6-III นั้น ก็มี Cache มาให้ด้วย ทำให้ มันมอง Cache บน Mainboard นั้นๆ เป็น Cache ระดับ 3 ( Level 3 Cache )
ถ้ากำหนดให้ เวลาที่ใช้ในการอ่านข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เป็นดังนี้
Cache ระดับ 1 1 หน่วยเวลา ( Unit )
Cache ระดับ 2 10 หน่วยเวลา ( Unit )
Cache ระดับ 3 ขนาด 512 K 100 หน่วยเวลา ( Unit )
Cache ระดับ 3 ขนาด 1,024 K 200 หน่วยเวลา ( Unit )
Cache ระดับ 3 ขนาด 2,048 K 400 หน่วยเวลา ( Unit )
หน่วยความจำหลัก 1,000 หน่วยเวลา ( Unit )

เมื่อ CPU ต้องการข้อมูลเพื่อการประมวลผล ก็จะมองหาข้อมูลที่ต้องการดังกล่าวเสียก่อน จากใน Cache ระดับ 1 ซึ่งถ้าหาพบ ก็จะใช้เวลาเพียง ไม่เกิน 1 หน่วย แต่ถ้าไม่พบ ก็จะไปมองหาที่ Cache ระดับ 2 ต่อไป ถ้าหาพบ ก็จะใช้เวลาไม่เกิน 11 หน่วยเวลา ( 1+10 ) แต่ถ้าหาไม่พบ ก็ต้องเสียเวลา มากกว่า 11 หน่วยเวลาเพื่อไปค้นหาในหน่วยความจำหลัก หรือ ใน Cache ระดับ 3 ต่อไป
ถ้าไม่มี Cache ระดับ 3 การหาข้อมูลนั้น เมื่อหาจากใน Cache ทั้งระดับ 1 และ ระดับ 2 ไม่พบ ก็จะเข้าไปหาที่หน่วยความจำหลักต่อไป ซึ่งถ้าพบ ก็จะใช้เวลามากกว่า 11 ( 1+10 ) หน่วยเวลา แต่ไม่เกิน 1,011 ( 1+10+1,000 ) หน่วยเวลา แต่ถ้ามี Cache ระดับ 3 ก็จะทำการเข้าไปค้นหาใน Cache ระดับ 3 ต่อไป ซึ่งเวลาที่ใช้ ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ Cache ระดับ 3 นั้นด้วย ซึ่งถ้าหาพบใน Cache ระดับ 3 ก็จะใช้เวลาที่มากกว่า 11 หน่วยเวลา แต่น้อยกว่า 111 ( 1+10+100 ) หน่วยเวลา สำหรับ Cache ระดับ 3 ขนาด 512KB และ น้อยกว่า 211 ( 1+10+100 ) สำหรับ Cache ระดับ 3 ขนาด 1,024 KB และ น้อยกว่า 411 ( 1+10+400 ) สำหรับ Cache ระดับ 3 ขนาด 2,048KB ซึ่งจะสังเกตุได้ว่า ถ้าสามารถหาข้อมูลพบใน Cache ระดับ 3 นั้น เวลาที่ใช้งาน ก็น้อยกว่า การที่ไม่มี Cache ระดับ 2 อยู่มากกว่าเท่าตัว
ถ้าไม่พบข้อมูลที่ต้องการใน Cache ระดับ 3 ก็จะเสียเวลาในการค้นหาที่มากขึ้น ก่อนที่จะไปค้นหาในหน่วยความจำหลักต่อไป ซึ่งตรงจุดนี้เอง ก็เป็นผลทำให้ Performance ที่ได้ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม การที่มี Cache ระดับ 3 ขนาดใหญ่นั้น โอกาสที่จะทำให้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ นั้นก็มากขึ้น
สำหรับอัตราส่วนระหว่าง Level 2 ต่อ Level 3 นั้นก็มีส่วนสำคัญ เช่นเดียวกันกับ อัตราส่วนระหว่าง Level 1/Level 2 หากว่า CPU มองหา ข้อมูลที่ต้องการใน Cache ระดับใดๆ ไม่เจอ ก็จะทำการค้นหาใน Cache ระดับถัดไป ซึ่งจะมีความเร็วช้ากว่า แต่มีขนาดใหญ่กว่า แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าใน Cache ระดับถัดไปนั้น ขนาดไม่ใหญ่ โอกาสที่จะหาข้อมูลที่ต้องการเจอนั้น ก็มีน้อยกว่า ( เพราะมีเนื้อที่ น้อยกว่า ทำให้โอกาสที่จะดึงข้อมูลจาก RAM มา แล้วตรงกับที่ต้องการนั้น เป็นไปได้น้อยกว่า ) ก็ทำให้ CPU นั้น เสียเวลา ในการค้นหาไปอย่างสูญเปล่า ( ในกรณีที่หาไม่พบ ) แล้วก็จะทำให้ผล Performance นั้นช้ากว่า จากที่ควรจะเป็น ปกติแล้ว อัตราส่วนจะเป็นระหว่าง Cache ระดับถัดมาต่อ Cache ระดับก่อนหน้า จะเป็น 4:1 เช่น Level 2 Cache /Level 1 Cache ของ Celeron จะเป็น 128:32 ( 4:1 ) และ K6-3 จะเป็น 256:64 ( 4:1 ) ยกเว้นของ Pentium II ที่เป็น 512:32 ( 16:1 )
ทาง AMD ก็ได้อ้างว่า ด้วย Cache 1Mb บน Mainboard นั้น จะทำให้ Performance เพิ่มขึ้น 3-4 % ( L3/L2 = 1024/256 = 4/1 ) ซึ่ง ปัจจุบันนั้น ก็มี Mainboard ที่มี ทั้ง Cache 1M และ 512 K ให้เลือก เพราะฉะนั้น นี่คงเป็นตัวช่วยในการพิจารณาตัวหนึ่งแล้วนะครับ สำหรับผู้ที่คิดจะใช้ AMD K6-3 ว่าควรจะใช้ Mainboard อะไรดี สำหรับการ disable Level 3 Cache นั้น คิดว่า เป็นไปได้ โดยผ่านทาง BIOS ซึ่งก็น่าจะมีผลช่วยในการ Overclock ให้ได้มากขึ้น
คราวนี้เราลองย้อนกลับไปดูถึงตอนแรก ที่เปรียบเทียบเรื่อง Cache กับการจดโน๊ตย่อลงสมุดนั้น เราอาจสรุปได้ว่า สมองของเราเป็น Cache ระดับ 1 เพราะเมื่ออ่านและเห็นว่าข้อความไหน หรือประโยคไหนที่น่าจำที่สุด สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ก็คงอาจเล็งไว้แล้วว่า ตรงนี้ อาจารย์ต้องเอามาออกข้อสอบแน่ๆ ก็จะอ่านแล้วท่องจำเอาไว้ และ เมื่อเกินความสามารถที่จะท่องจำ ก็ทำการจดโน๊ตย่อไว้ในสมุดเล่มเล็กๆ นั่นก็คือ Cache ระดับ 2 นั่นเอง และ บางทีในการอ่าน ก็อาจมีเรื่องที่น่าสนใจมากๆ จดโน๊ตย่อไม่ไหว ก็อาจใช้ปากกาขีดข้อความสำคัญๆหรือทำการคั่นหน้าหนังสือตรงนั้นไว้ นั่นก็คือ Cache ระดับ 3 นั่นเอง
ก็เห็นกันแล้วว่า ขนาดของ Cache นั้น เป็นสิ่งสำคัญ และ ความเร็วของ Cache นั้น ก็สำคัญเช่นกัน แต่ ถ้าให้เลือก ระหว่าง Celeron 300A ซึ่งมี Level 2 cache 128 K ทำงานที่ความเร็วเท่าๆ กับ CPU กับ Pentium II 300 ที่มี L2 cache 512 K ทำงานเป็นครึ่งหนึ่ง แต่ราคานั้นต่างกันเท่าตัว ในขณะที่ Performance ในด้านที่ไม่เกี่ยวกับ Business นั้น แทบไม่ต่างกัน ก็ขอเลือก Celeron จะดีกว่า ( ถูกกว่าตั้งเยอะ )
แต่หากว่าต้องใช้งานด้าน Business แล้วละก็ คงจะต้องเลือก CPU ที่มี Cache มากๆ ไว้ก่อน เพราะถึงแม้ว่า Cache นั้นจะเร็ว แต่มีขนาดน้อย เปอร์เซ็นต์ในการหาข้อมูลพบใน Cache ก็น้อยลง ถึงแม้จะถูกชดเชยด้วยความเร็ว แต่มันก็ทำให้ Cache นั้นต้องรับ ภาระที่หนักมากขึ้นไปด้วย

RISC vs. CISC (Reduced Instruction Set Computer and Complex Instruction Set Computer )

RISC vs. CISC (Reduced Instruction Set Computer and Complex Instruction Set Computer )

RISC นั้นเป็นคำย่อ มาจากคำว่า Reduced Instruction Set Computer ซึ่งก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีชุดคำสั่งน้อยๆ และไม่ซับซ้อน โดยจะมีความหมายตรงกันข้ามกับ CISC หรือ Complex Instruction Set Computer ซึ่งจะชุดคำสั่งที่ซับซ้อนมากมาย

การออกแบบสถาปัตยกรรม Processor แบบ RISC นั้นจะเน้นการลดจำนวน และ ความลดซับซ้อนของคำสั่งภายใน ( Instruction ) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นลักษณะการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ RISC อันได้แก่ การจัดการเกี่ยวกับ Cache, การทำ pipeline, superscalar และ อื่นๆ

การออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ RISC โดยทั่วไป จะมีกฏเกณฑ์ดังนี้

· 1 คำสั่งต่อรอบสัญญาณนาฬิกา ( One Instruction per Cycle ) นับเป็นสิ่งแรกเลยที่นึกถึงในการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ RISC โดย จะพยายามทำงานให้เสร็จสิ้นภายใน 1 รอบสัญญาณนาฬิกา ( 1 Clock Cycle ) ซึ่งก็มีการใช้ pipeline มาช่วยในการทำงาน ดังนั้น ในการทำงานจริงๆ อาจไม่ใช่ทำงาน 1 คำสั่งเสร็จสิ้นใน 1 รอบสัญญาณนาฬิกา แต่ใช้การนับเวลาในการทำงานของโปรแกรม ซึ่งแน่นอน มีการทำงานหลายๆ คำสั่ง หลายๆ ขั้นตอน แล้วคิดเป็นเวลาเฉลี่ย ซึ่งก็จะได้ประมาณ 1 คำสั่งต่อ 1 รอบสัญญาณนาฬิกา
วิธีที่ใช้เพื่อทำให้ได้ 1 คำสั่งต่อรอบสัญญาณนาฬิกา จะทำโดยใช้คำสั่งง่ายๆ ธรรมดาๆ ไม่ใช่ เพิ่มรอบสัญญาณนาฬิกาให้นานขึ้น

· กำหนดขนาดของ Instruction ให้มีขนาดที่แน่นอน ( Fixed Instruction Length ) ถ้าหากว่าจะทำให้มีการทำงานแต่ละคำสั่งให้เสร็จสิ้นภายใน 1 รอบสัญญาณนาฬิกาได้นั้น ก็แน่นอน ผู้ออกแบบ RISC ก็จะต้องจำกัดขนาดของคำสั่งด้วย ไม่ให้มีขนาดที่ยาวเกินไป ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้ขนาด 1 Word ( จะมีขนาดไม่แน่นอน แล้วแต่เครื่อง แต่โดยทั่วๆไป CPU แบบ RISC จะมีขนาดของ Word = 32 Bit ) โดยใน 1 Word นั้น ก็จะกำหนดทุกๆอย่างทั้งคำสั่ง, Operation , จะดึง Operand จากที่ไหน , จะให้เก็บผลลัพธ์ ( Result ) ที่ไหน และ คำสั่งถัดไปอยู่ที่ไหน

C = A + B : A และ B คือ Operand , + คือ Operation และ C คือ Result

· คำสั่งในการเข้าถึงหน่วยความจำหลัก จะใช้แค่ load ( ดึงข้อมูล ) และ store ( เก็บข้อมูล ) เท่านั้น สถาปัตยกรรมแบบ RISC นั้น เมื่อจะทำการจัดการกับคำสั่งต่างๆ ก็จำเป็นจะต้องนำ Operand มาเก็บไว้ใน Register ก่อน และ ในแต่ละคำสั่งนั้น ก็ถูกจำกัดไว้ที่ 1 Word ซึ่งก็ไม่เพียงพอต่อการเก็บค่าของ Operand ต่างๆ ดังนั้นจึงใช้การอ้างตำแหน่งในหน่วยความจำแทน แต่ การเข้าถึงหน่วยความจำนั้นต้องเสียเวลาอยู่พอสมควร จึงมีการกำหนดให้ใช้เพียงแค่ 2 คำสั่งเท่านั้น คือการ load และ การ store เพื่อลด traffic ระหว่าง หน่วยประมวลผล และ หน่วยความจำ ส่วนเวลาในการ load หรือ store นั้น ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ Operand

· ใช้การอ้างตำแหน่งแบบตรงๆ ง่าย เพราะการอ้างแบบซับซ้อน ก็แน่นอน ต้องใช้ช่วงเวลานานกว่า ซึ่งการอ้างตำแหน่งแบบ RISC นั้นจะจำกัดอยู่ 2 แบบ คือ แบบอ้างผ่าน Register ( Register Indirect ) และ Index โดยการอ้างผ่าน Register นั้น Register จะเก็บค่าตำแหน่งไว้ แล้ว ทำการอ้าง ตำแหน่งนั้นๆผ่าน Register และในแบบ Index จะเป็นการอ้างตำแหน่งจากค่าคงที่ที่มาในคำสั่งนั้นๆเลย

· ใช้ Operation ที่เรียบง่าย ธรรมดาๆ และ มีไม่กี่ Operation เพื่อจะได้ใช้รอบการทำงานน้อยๆ และรวมไปถึงทรัพยากรของระบบที่ใช้ ก็จะใช้น้อยด้วย

ในส่วนของการออกแบบ CISC นั้น ดูเหมือนใช้หลักเกณฑ์ที่ตรงข้ามกับแบบของ RISC แทบจะทั้งหมด เพราะ ในขณะที่ RISC จะพยายามลดคำสั่งให้มีจำนวนน้อยๆ และ ไม่ซับซ้อน แต่ CISC จะพยายามให้มีรูปแบบของคำสั่งต่างๆ มากมาย และ ดูจะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในเรื่องของคำสั่งการทำงานของ RISC นั้น ก็จะมีค่าเฉลี่ยเป็น 1 คำสั่งต่อ 1 สัญญาณนาฬิกา แต่ในขณะที่ CISC อาจใช้ถึง 100 สัญญาณนาฬิกา เพื่อให้ทำงานให้เสร็จ เพียง 1 คำสั่ง

CISC นั้น ก็จะมีจุดเด่น ในเรื่องของการเขียน Program บน CISC นั้น จะทำได้ง่ายกว่า เพราะโดยตัวของ Processor นั้นรู้จักคำสั่งต่างๆมากมาย ทำให้สะดวกต่อการเขียนโปรแกรมใช้งาน และ Program บน CISC นั้นก็มีขนาดเล็กกว่า บน RISC ( ด้วยเหตุผลเดียวกัน )
ต้องอย่าลืมว่า ต่อให้ Processor นั้นดีเพียงใด ก็ตามแต่หากว่า ไม่มีโปรแกรมมาสนับสนุน หรือเขียนโปรแกรมมาใช้งานบน Processor นั้นๆยาก ก็คงไม่มีคนเลือกใช้ Processor นั้นๆ เป็นแน่ หากว่า ผู้ออกแบบ CISC นั้น ออกแบบมาดี โปรแกรมบางอย่าง อาจทำได้เร็วกว่า RISC ด้วยซ้ำ เพราะมีการใช้คำสั่งที่น้อยกว่า ( เพราะมีการเตรียมคำสั่งต่างๆ ไว้จัดการแล้ว ) ตัวอย่างเช่น ต้องการหาผลลัพธ์ของ 7 คูณกับ 9
ถ้า RISC มีเพียงคำสั่ง บวก และ ลบ การจะหาผลลัพธ์ของ 7 คูณ 9 ก็คือ ต้องทำการบวก 7 เข้าด้วยกัน 9 ครั้ง สมมุติว่าแต่ละครั้งของการบวก จะใช้เวลา 1 สัญญาณนาฬิกา ก็จะใช้ถึง 9 สัญญาณนาฬิกา และแม้ว่า Compiler นั้นฉลาด ทำการเอา 9 มาบวกกัน 7 ครั้งแทน ก็จะใช้สัญญาณนาฬิกาที่ 7 สัญญาณนาฬิกา ถ้าเป็น CISC ซึ่งมีคำสั่งคูณไว้ให้แล้ว และ ใช้ 5 สัญญาณนาฬิกาในการคูณแต่ละครั้ง การหาผลลัพธ์ของ 7 คูณกับ 9 ก็จะทำได้ใน 5 สัญญาณนาฬิกาเท่านั้น แต่ในบางกรณี เช่น 4 คูณกับ 3 RISC นั้น จะใช้เวลาเพียง 3 หรือ 4 สัญญาณนาฬิกา แต่ CISC กลับต้องใช้ถึง 5 สัญญาณนาฬิกา

ในการเปรียบเทียบความเร็วและประสิทธิภาพของ RISC กับ CISC ทำได้ยาก เพราะ ต้องแล้วแต่งานที่ใช้ในการทดสอบเปรียบเทียบ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างข้างต้น เพียงแค่เปลี่ยนค่า Operand เท่านั้น ผลที่ได้ก็ต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้น คำตอบสำหรับคำถามนี้ ก็คงตอบได้ยาก เพราะต้องแล้วแต่งาน และ โปรแกรมที่ใช้ และรวมไปถึงค่าต่างๆ ที่อ้างอิงถึงด้วย

ปัจจุบันนี้ Processor แบบ CISC นั้น นับวันก็ยิ่งมีความซับซ้อนของคำสั่ง แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่ในขณะเดียวกัน CISC นั้น ก็ยิ่งมีรูปแบบออกไปทาง RISC ยิ่งขึ้น โดยส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากการลดปัญหาเรื่อง ความเข้ากันได้ของ Processor รุ่นใหม่ๆ กับ Processor รุ่นเก่า ซึ่งดูเหมือนว่าการดัดแปลงคำสั่งสำหรับ Processor ตระกูล x86 ( CISC ) ให้เป็นชุดคำสั่งแบบ RISC ที่เล็กๆกว่า เร็วกว่า และ ง่ายขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ชุดคำสั่งของ RISC สำหรับ Process ตระกูล x86 ( CISC ) ที่เรียกว่า ชุดคำสั่ง RISC86 และ ยิ่งนับวัน Processor แบบ CISC นั้น ก็มีการทำงานแบบ Pipeline และ แบบ Speculative Execution ( มีการคาดเดาล่วงหน้า ) ด้วย ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ แต่เดิมนั้นพัฒนาอยู่บน RISC ส่วนในทางกลับกัน Processor แบบ RISC เองนั้น ก็เริ่มที่จะมีการใช้คำสั่งที่ซับซ้อนขึ้น และ มีหลากหลายคำสั่งมากขึ้น ซึ่งก็เหมือนว่าจะเบนไปทาง CISC เช่นกัน

สำหรับ Processor ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ RISC นั้น ก็ได้แก่ SUN Sparc , IBM RS/6000 , Motorola 88000 ( เป็น Processor แบบ RISC ตัวแรกของ Motorola ) ส่วน Processor ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ CISC นั้น ก็ได้แก่ Processor ตระกูล x86 ทั้งหลาย ทั้ง Intel 8088 เรื่อยมาจนถึงล่าสุด Pentium !!! , AMD ตังแต่ Am286 เรื่อยมาถึงล่าสุด K6-III ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการใช้สถาปัตยกรรมแบบ RISC เข้ามาบ้าง แต่ แกนหลักก็ยังคงเป็น CISC เช่นเดิม