Music Hit In your life

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักโปรแกรมสนทนา ต่าง ๆ กันเถอะ

พ่อแม่หลาย ๆ คนอาจงงกับกิจกรรมยามว่างของลูกเวลาเล่นอินเทอร์เน็ต ไม่เข้าใจเมื่อเห็นพวกเขากำลังพิมพ์คำพูดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ พิมพ์เพื่ออะไร และพิมพ์โต้ตอบกับใคร สิ่งที่พ่อแม่เห็นนั้นเรียกว่าโปรแกรมสนทนาหรือโปรแกรมแชท โปรแกรมดังกล่าวนำมาใช้แทนการสนทนาพูดคุยจริง ปัจจุบันนี้มีให้เลือกมากมาย เรามาดูกันว่าเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมแชทอะไรบ้าง

------------------------------

1. โปรแกรมเพิร์ท (PIRCH)

PIRCH เป็นโปรแกรมสนทนาประเภท Internet Relay Chat ที่ใช้เชื่อมต่อเข้าไปยัง Server ที่ให้บริการ การสนทนาจะทำเหมือนกับการส่งข้อความ (Message) คุยผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เราเรียกวิธีนี้ว่า การแชท (Chat) เมื่อต้องการสนทนาจะต้องเปิดเข้าที่โปรแกรม PIRCH เท่านั้น


ประโยชน์ของ PIRCH ก็เหมือนกับโปรแกรมอื่น ๆ ที่คุยกันได้ทีละหลาย ๆ คนในครั้งเดียว สามารถส่งรูปหากันระหว่างเรากับเพื่อนสนทนาได้ ภายในโปรแกรมยังแบ่งเป็นห้องสนทนาย่อย ๆ ตามความสนใจของผู้เล่น จะคุยเป็นการส่วนตัว (เราเรียกกันว่าซิป) หรือจะคุยผ่านหน้าห้องนั้น ๆ ก็ได้ ตัวอย่างห้องสนทนาในโปรแกรม เช่น ห้องคนน่ารัก ห้องคนขี้เหงา ห้องผู้หญิงทำงาน หรือรวมไปถึงห้องขายบริการ ฯลฯ


2. โปรแกรมไอซีคิว (ICQ)

ICQ คือโปรแกรมที่ใช้สำหรับการติดต่อผ่านทางอินเตอร์เน็ต ที่นิยมใช้งานกันมากที่สุดอีกอันหนึ่ง เป็นคำย่อมาจากคำว่า "I Seek You" เมื่ออ่านออกเสียงเร็ว ๆ จะอ่านว่า ไอซีคิว ICQ นับได้ว่าเป็นโปรแกรมสำหรับการติดต่อสื่อสารอีกชนิดหนึ่งที่สามารถทำการได้แบบออนไลน์ กล่าวคือ สามารถคุยกันได้ทันที หรือจะฝากข้อความไว้ คล้าย ๆ กับการส่งเมล์ก็ทำได้ โดยก่อนที่จะใช้งานจะต้องทำการลงทะเบียน เพื่อขอรับเลขประจำตัวหรือ UIN มาก่อน ตัวเลขที่ได้มาจะคล้าย ๆ กับเบอร์โทรศัพท์ เมื่อเราจะติดต่อกับใคร ก็ใช้จะเลขประจำตัวที่ได้มานี้ เป็นการระบุผู้ที่เราต้องการติดต่อด้วย


3. ซอฟต์แวร์คิวคิว (QQ)

QQ คือซอฟต์แวร์สำหรับใช้รับ-ส่งข้อความผ่านอินเตอร์เน็ตในลักษณะ Instant messenger (IM) ซอฟต์แวร์นี้ช่วยให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น การส่งหรือรับข้อความก็สามารถทำได้ทันที นอกจากนี้เรายังสามารถใช้งานฟังก์ชันอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ด้วย เช่น ส่งอีเมล์, รับ - ส่งไฟล์, รับ - ส่งข้อความ, เล่น net meeting, Chat room, PC to PC voice chat และอื่นๆ อีกมากมาย


4. Yahoo! Messenger

Yahoo Messenger คืออีกหนึ่งบริการ Chat หรือการคุยกับเพื่อน ๆ ที่ออนไลน์อยู่โดยการรับ และส่งข้อความ ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับผู้ที่มี Yahoo! ID และ Password โปรแกรมแชทนี้จะสามารถติดต่อกันได้ระว่างผู้ที่มีอีเมล์ยาฮูเหมือน ๆ กัน เท่านั้น (ใครที่ยังไม่มีสามารถ Sign up เพื่อขอ Yahoo! ID และ Password และดาวน์โหลดโปรแกรมได้ที่ yahoo.com)


Yahoo Messenger เป็น Instant messenger ที่ค่อนข้างสมบูรณ์คือ ส่ง Pager message ให้เพื่อนใน Contact Listได้ในขณะที่พวกเขายังไม่ออนไลน์ เมื่อเพื่อน ๆ ออนไลน์จะได้รับ Message นั้น ขณะที่ของค่าย MSN ยังส่งได้เฉพาะตอนออนไลน์


5. MSN Messenger

โปรแกรมสนทนาที่สร้างโดยบริษัท Microsoft ใช้ประโยชน์ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้ email ที่ใช้ฟรีอีเมลของ Hotmail โปรแกรม MSN มีประโยชน์ช่วยให้เราสามารถสนทนากับคนอื่นได้ทีละหลายๆคนในครั้งเดียวกัน ถ้าหากว่าคนที่เราสนทนานั้น เปิดหรือออนไลน์อยู่ในขณะนั้นด้วย เช่น ใช้ในการประชุมได้แม้ไม่ได้อยู่สำนักงานเดียวกัน หรือเป็นอักษรย่อของโปรแกรม Microsoft หรือเป็นโลโก้ของเว็บไซต์ msn.com ซึ่งหากเราจะเข้าไปใช้งาน MSN Messenger สามารถเข้าไปได้ที่ msn.com หรือจะเข้าไปที่เว็บไซต์ที่มีการใช้ MSN เช่น www.hotmail.com ซึ่งจะให้เราสมัครเข้าไปใช้ได้โดยจะ ชื่อ ถาม Password หรือข้อมูลทั่วๆไปคล้ายกับการสมัคร e-mail


6. Camfrog

โปรแกรมสนทนาที่ สามารถแชร์วีดีโอ หรือสนทนาแบบวีดีโอได้ดีที่สุด โดยสามารถเลือกที่จะสนทนาแบบห้อง และ สนทนาแบบ 2 คน โดยแคมฟร็อก จะสามารถทำการประชุม ผ่านโปรแกรมนี้ได้ด้วย โดยในห้อง จะมีผู้พูด ทำการพูดผ่านไมโครโฟนได้ ซึ่งจะพิมพ์ สนทนาได้แบบโปรแกรมสนทนาอื่นๆได้เช่นเดียวกัน


7. Skype

โปรแกรมสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สามารถ โทรศัพท์ผ่านโปรแกรมไปยังผู้ใช้งานบัญชี Skype ได้ทั่วโลก ที่ให้เสียงในการสนทนาได้ดีที่สุด นอกจากนี้ Skype ยังสามารถ โทรศัพท์ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ต่างๆ ในราคาที่ถูกด้วย
8. Google Talk
โปรแกรมสนทนาน้องใหม่ ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของค่ายใด แน่นอนครับต้อง Google ทีมีคุณลักษณะพิเศษต่างๆ มากมายครับ เช่น การพิมพ์สนทนา การโทรด้วยเสียง เป็นต้น
เอาละครับ มาถึงท้ายสุดนี้ก็ ให้ เพื่อนๆ ลองเลือกใช้ดูละคับ และใช้ในทางที่ถูกต้องด้วยละครับ แล้วพบกันใหม่ครับผม

ที่มาบางส่วน http://www.thaicleannet.com/modules.php?name=tcn_stories_view&sid=283

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิวัฒนาการ เกมเมอร์


วิวัฒนาการ เกมเมอร์ ดูกันเอาเองน๊ะคราฟ

หลักการเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่าย

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเครือข่ายนั้นจะมีอยู่หลากหลายอุปกรณ์ด้วยกัน โดยที่อุปกรณ์ซึ่งใช้ในระบบเครือข่ายนั้นจะมีหน้าที่หลักคือ การทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการการรับ-ส่งข้อมูลบนระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นการทวนสัญญาณของข้อมูล, การรับ-ส่งข้อมูลภายในระบบเครือข่าย รวมถึงการรับ-ส่งข้อมูลข้ามเครือข่าย ซึ่งอุปกรณ์ที่มีการใช้งานกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ได้แก่ อุปกรณ์ Hub, Switch รวมถึงอุปกรณ์ Router เป็นต้น

ก่อนที่เราจะไปคุยกันถึงหลักการเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่ายเหล่านี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการทำงานของแต่ละอุปกรณ์กันอย่างคร่าวๆ ก่อน เพื่อจะได้เป็นการทราบถึงหน้าที่ของอุปกรณ์แต่ละตัวในเบื้องต้นกันครับ


อุปกรณ์ระบบเครือข่าย

อุปกรณ์ Hub:

อุปกรณ์ Hub นั้นมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Repeater มีการทำงานอยู่บน Layer 1 (Physical Layer) ของระบบเครือข่ายรูปแบบ OSI 7 Layer ซึ่งอุปกรณ์นี้จะมีหน้าที่ในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องให้เข้ากันเป็นกลุ่ม โดย Hub จะทำหน้าที่ในการรับ-ส่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่งเพื่อส่งต่อไปยังทุกๆ พอร์ตที่เหลือบนตัวอุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์ Hub นั้นจะมีการทำงานในรูปแบบการแบ่งแบนด์วิดธ์ในระบบเครือข่ายในการใช้งาน (Bandwidth Sharing) ดังนั้นถ้าหากในตัวอุปกรณ์ Hub มีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อยิ่งมากเท่าใด ก็จะทำให้ Bandwidth ในการใช้งานต่อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นยิ่งลดน้อยลง ในปัจจุบันมีผู้ผลิตอุปกรณ์ Hub จากหลากหลายบริษัทผลิตมาจำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งจะมีลักษณะการทำงานโดยทั่วๆ ไปเหมือนกัน โดยข้อแตกต่างของอุปกรณ์ Hub เหล่านี้ก็จะเป็นในเรื่องของประเภทจำนวนพอร์ตในการเชื่อมต่อ, ชนิดของพอร์ตที่จะใช้เชื่อมต่อกับสายสัญญาณ (แบบสายทองแดง UTP, แบบสาย Fiber Optic เป็นต้น) รวมถึงอัตราความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล เช่น แบบ 10 Mbps หรือแบบ 10/100 Mbps ซึ่งสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ทั้งความเร็วที่ 10 Mbps และ 100 Mbps เป็นต้น ทั้งนี้การที่อุปกรณ์สามารถที่จะทำงานได้ที่อัตราความเร็วมากกว่า 1 ระดับนั้น เนื่องมาจากการที่อุปกรณ์นั้นๆ มีรูปแบบการทำงานที่มีความสามารถในการตรวจสอบได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ระบบเครือข่ายอื่นๆ ที่มาเชื่อมต่อกับตัวมันนั้นมีความสารถในการรับ-ส่งข้อมูลได้ในความเร็วที่มากสุดเท่าใด และอุปกรณ์ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันก็จะเลือกใช้อัตราการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่สามารถรองรับได้ โดยที่เราจะเรียกลักษณะการตรวจสอบแบบนี้ว่าการทำงานแบบ Auto-Negotiation ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์ระบบเครือข่ายในท้องตลาดปัจจุบันก็จะมีความสามารถในการทำงานแบบ Auto-Negotiation อยู่ในตัว



สำหรับการทำงานของอุปกรณ์ Hub ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ระบบเครือข่ายอื่นหลายๆ ตัวเชื่อมต่ออยู่ และแต่ละอุปกรณ์มีการรับ-ส่งข้อมูลที่ความเร็วแตกต่างกัน Hub จะมีการทำงานโดยจะเลือกการทำงานที่อัตราการรรับ-ส่งข้อมูลที่ต่ำที่สุด ซึ่งจะแตกต่างจากอุปกรณ์ Switch ที่เราจะได้พูดถึงต่อไป


อุปกรณ์ Switch:

อุปกรณ์ Switch เป็นอุปกรณ์ที่มีการทำงานอยู่บน Layer 2 (Data Link Layer) ของระบบเครือข่ายรูปแบบ OSI 7 Layer เราสามารถเรียกอุปกรณ์ Switch ได้อีกว่าเป็นอุปกรณ์ Switching Hub หรือ Bridge



อุปกรณ์ Switch จะมีความสามารถในการทำงานมากกว่า Hub โดยที่อุปกรณ์ Switch จะทำงานในการรับ-ส่งข้อมูลที่สามารถส่งข้อมูลจากพอร์ตหนึ่งของอุปกรณ์ไปยังเฉพาะพอร์ตปลายทางที่เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งข้อมูลไปหาเท่านั้น ซึ่งจากหลักการทำงานในลักษณะนี้ทำให้พอร์ตที่เหลือของอุปกรณ์ Switch ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับ-ส่งข้อมูลนั้นสามารถทำการรับ-ส่งข้อมูลกันได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน นั่นจะทำให้อุปกรณ์ Switch มีการทำงานในแบบที่ Bandwidth ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลจะไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับ Switch

จากการทำงานของ Switch ในลักษณะนี้ จะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ทุกๆ เครื่องที่เชื่อมต่ออยู่จะมี Bandwidth ที่มีค่าเท่ากับค่า Bandwidth ของอุปกรณ์ Switch ด้วยเหตุนี้ทำให้ในปัจจุบันอุปกรณ์ Switch จะได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในระบบเครือข่ายมากกว่าอุปกรณ์ Hub


อุปกรณ์ Layer 3 Switch:



จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่าอุปกรณ์ Switch นั้นจะมีการทำงานอยู่บน Layer 2 ของระบบ OSI 7 Layer แต่ก็จะยังมีอุปกรณ์ Switch อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสามารถของการทำงานเพิ่มขึ้น โดยรองรับการทำงานอยู่บน Layer 3 (Network Layer) ของ OSI Model ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ Layer 3 นี้จริงๆ จะเป็นอุปกรณ์ Router เป็นหลัก ข้อแตกต่างระหว่างอุปกรณ์ Layer 3 Switch กับ Router ก็คือ อุปกรณ์ Layer 3 Switch นั้นจะสามารถทำงานได้ทั้งบน Layer 2 และ Layer 3 และอุปกรณ์ Layer 3 Switch จะผลิตขึ้นมาภายใต้พื้นฐานของเทคโนโลยี ASIC (Application Specific Integrated Circuit) แต่อุปกรณ์ Router ส่วนใหญ่นั้นจะผลิตขึ้นมาโดยมี RISC Processor คอยควบคุมในเรื่องของการประมวลผล และจะต้องมีซอฟต์แวร์ที่เข้ามาควบคุมการทำงานอีกทีหนึ่ง ซึ่งทำให้การทำงานของอุปกรณ์ Layer 3 Switch นั้นจะรวดเร็วกว่า Router เป็นอย่างมาก


อุปกรณ์ Router:

ดังที่กล่าวเบื้องต้นไปแล้วว่าอุปกรณ์ Router นั้นจะมีการทำงานอยู่บน Layer 3 ของ OSI 7 Layer Model ซึ่งเป็น Layer ที่เป็นการทำงานเกี่ยวกับเครือข่ายเป็นหลัก ซึ่งทำให้ Router นั้นจะมีหน้าที่หลักในการรับ-ส่งข้อมูลข้ามกันระหว่างเครือข่ายต่างเครือข่ายกัน ซึ่งอุปกรณ์ Router นั้นจะทำงานโดยการอ้างอิงค่า Address เป็นหลัก โดย Router จะอ่านค่าของ Address ปลายทางของข้อมูลนั้นๆ หลังจากนั้นจะทำการคำนวณเพื่อเลือกเส้นทางที่จะส่งข้อมูลนั้นไปยังปลายทางต่อไป โดยที่วิธีในการเลือกเส้นทางในการรับ-ส่งข้อมูลของ Router นั้น Router จะใช้ Routing Protocol เป็นตัวที่คอยกำหนดวิธีในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่ง Routing Protocol นั้นจะมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น IP (Internet Protocol), IPX (Internet Package Exchange) หรือ AppleTalk เป็นต้น โดย Router นั้นจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเส้นทางในการรับ-ส่งข้อมูล หรือที่เรียกว่า Routing Table เป็นตัวช่วยให้ Router ใช้ในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งข้อมูลไปยังปลายทาง



โดยปกติแล้วในการใช้งานอุปกรณ์ Router ในปัจจุบันนั้น เรานิยมที่จะใช้ในการเชื่อมต่อกันระหว่างระบบเครือข่ายตั้งแต่ 2 เครือข่ายขึ้นไป นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Router ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย WAN และยังสามารถเชื่อมต่อ Router ตรงเข้ากับระบบ Internet ได้อีกด้วย


การเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่าย

การเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่ายนั้น โดยหลักๆ แล้วจะไม่แตกต่างกันมากนักในแต่ละอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ Hub, Switch หรือ Router สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงเลยก็คือ ความยากง่ายในการจัดการและดูแลตัวอุปกรณ์เอง สำหรับระบบเครือข่ายที่มีขนาดกลาง อาจจะมีความต้องการในการดูแลและจัดการกับระบบเครือข่ายจากระยะไกล หรือที่เรียกว่า Remote Management ซึ่งการดูแลจัดการแบบนี้อุปกรณ์ระบบเครือข่ายทุกๆ อุปกรณ์จะสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการดูแล โดยผ่านการใช้งานโปรโตคอลแบบ SNMP (Simple Network Management Protocol) และโปรโตคอล RMON (Remote Monitoring Protocol)

ในส่วนของระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่นั้น ส่วนมากมักจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาทำหน้าที่ในการดูแลระบบเครือข่าย (Network Monitoring) โดยเฉพาะ สำหรับการดูแลระบบเครือข่ายนั้นก็มีหลายรูปแบบ เช่น การตรวจสอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบเครือข่ายว่ายังทำงานได้ดีหรือไม่, ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของระบบเครือข่าย (Network Utilization) รวมถึงการแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ดูแลระบบเครือข่ายในกรณีที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระบบเครือข่าย เป็นต้น

โดยปกติทั่วไปแล้วอุปกรณ์ Layer 3 Switch และ Router นั้นจะมีความสามารถในการรองรับการทำงานกับโปรโตคอล SNMP อยู่แล้ว แต่ในส่วนของอุปกรณ์ Hub และ Switch นั้นจะแตกต่างออกไป โดยที่ Hub กับ Switch นั้นจะมีทั้งแบบที่รองรับการทำงานกับโปรโตคอล SNMP ซึ่งเราเรียกว่าแบบ Manageable และแบบที่ไม่สามารถดูแลจัดการอะไรกับตัวอุปกรณ์ได้เลย ซึ่งเรียกว่าแบบ Unmanaged หรือ Plug-and-Play ซึ่งในกรณีที่ระบบเครือข่ายนั้นๆ เป็นระบบที่ค่อนข้างเล็กและไม่มีความจำเป็นที่จะใช้งานในลักษณะ Remote Management ก็ควรจะเลือกซื้ออุปกรณ์ Hub หรือ Switch ในแบบ Unmanaged ที่มีราคาที่ถูกกว่าแบบ Manageable ซึ่งจะทำให้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้พอสมควร เพราะว่าถ้าหากเลือกซื้อในแบบ Manageable มาแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของตัวอุปกรณ์ ก็จะเป็นการใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป แต่ถ้าหากเป็นระบบเครือข่ายที่ค่อนข้างใหญ่ และมีการใช้การทำงานแบบ Remote Management ก็ควรเลือกซื้ออุปกรณ์ในแบบ Manageable เพราะจะเป็นการง่ายต่อการจัดการดูแล, การตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานในระบบเครือข่าย รวมถึงการแจ้งเตือนและค้นหาสาเหตุได้อย่างง่ายในกรณีที่ระบบเครือข่ายเกิดความผิดปกติขึ้น


ที่มา :
หลักการเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่าย

router ดีกว่า switch Layer 3 อย่างไร

บทความนี้มาจาก คุณ Toneation
ใน
http://guru.google.co.th

ข้อ แตกต่างระหว่างอุปกรณ์ Layer 3 Switch กับ Router ก็คือ อุปกรณ์ Layer 3 Switch นั้นจะสามารถทำงานได้ทั้งบน Layer 2 และ Layer 3 และอุปกรณ์ Layer 3 Switch จะผลิตขึ้นมาภายใต้พื้นฐานของเทคโนโลยี ASIC (Application Specific Integrated Circuit) แต่อุปกรณ์ Router ส่วนใหญ่นั้นจะผลิตขึ้นมาโดยมี RISC Processor คอยควบคุมในเรื่องของการประมวลผล และจะต้องมีซอฟต์แวร์ที่เข้ามาควบคุมการทำงานอีกทีหนึ่ง ซึ่งทำให้การทำงานของอุปกรณ์ Layer 3 Switch นั้นจะรวดเร็วกว่า Router เป็นอย่างมาก

ดังนั้นการทำงานของ switch ก็จะเร็วกว่า router มาก

switch มักจะใช้ในรูปแบบ core หรือ distribute ถ้าจะต่อกันภายในหลายๆเครื่องก็จะใช้ switch ดีกว่า เพราะราคาต่อport จะถูกกว่า routerและจะทำงานเร็วกว่า

ส่วน router จะเน้นในด้าน WAN จะคอยเป็นตัวทำ Routing ส่งไปยังข้างนอก ไม่ค่อยจะยุ่งเกี่ยวกับภายในสักเท่าไหร่

จะดีกว่าหรืออย่างไรคงเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะใช้งานคนละแบบกัน

โปรแกรมเพิ่มเนื้อเพลงให้ Winamp (มีทุกเพลง)


Lyrics WinAmp โปรแกรมขั้นเทพที่คอเพลงต้องมีไว้ประจำคอมพ์เพื่อใช้เป็นปลั๊กอินในการดึงเนื้อเพลงจากอินเทอร์เน็ตมาแสดงที่โปรแกรม winamp หรือพูดง่ายๆ ว่าถ้าเราเปิดเพลงใดๆ ที่ winamp โปรแกรมนี้ก็จะไปค้นหาเนื้อเพลงบนอินเทอร์เน็ตมาแสดงแทบทุกเพลง (ย้ำแทบทุกเพลงในโลกนี้ที่ได้วางจำหน่ายไปแล้ว) ถ้าไม่เชื่อก็โหลดไปลองดูได้ครับ…แล้วคุณจะรักมันจ้า.


สำหรับใครที่ชอบร้องเลง ก้อลองโหลดไปใช้ดูนะครับ ดีจริงๆๆๆ


http://www.ohodownloads.com/headline/lyricsplugin-winamp/

Picasa 3.6 มาพร้อมกับ Picasa Web Albums

การเผยแพร่ภาพถ่ายด้วยวิธีง่ายๆ จาก Google
เมื่อใช้ร่วมกัน Picasa & Picasa Web Albums จะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบและแก้ไขภาพถ่ายดิจิทัลได้โดยง่าย จากนั้นสามารถสร้างอัลบั้มออนไลน์เพื่อแบ่งปันกับเพื่อน ครอบครัว และคนทั้งโลกได้

อัลบั้มทางเว็บที่สวยงามแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับภาพถ่ายที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดูภาพสไลด์เต็มหน้าจอ ดูภาพถ่ายของคุณปรากฏในแผนที่โลก สนุกกับภาพวิดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย

ให้ความสำคัญกับตัวบุคคลคนคือจุดสำคัญในภาพถ่ายของคุณ เทคโนโลยีของเราจะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบภาพถ่ายของคุณได้โดยอัตโนมัติโดยอ้างอิงจากบุคคลที่อยู่ในภาพ และทำงานได้ใน Picasa และ Picasa Web Albums

จัดระเบียบข้อมูลของคุณPicasa จะค้นหาภาพถ่ายทั้งหมดในคอมพิวเตอร์ของคุณโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และจะจัดระเบียบให้ในเวลาไม่กี่วินาที

จุดพลังสร้างสรรค์ใช้ Picasa เพื่อออกแบบและพิมพ์ภาพถ่ายสวยๆ สร้างสไลด์วิดีโอที่น่าสนใจ เพิ่มข้อความในภาพถ่ายหรือดูภาพโปรดของคุณในเดสก์ท็อปหรือโปรแกรมรักษาหน้าจอ

ใช้งานฟรีPicasa ให้คุณดาวน์โหลดฟรี และ Picasa Web Albums มีพื้นที่เก็บข้อมูลฟรีให้คุณ 1 กิกะไบต์ เพียงพอสำหรับภาพขนาดวอลล์เปเปอร์ 4,000 ภาพทีเดียว

ดาวน์โหลด
http://picasa.google.co.th/thanks.html