Music Hit In your life

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จงกระโดดออกจาก พันธนาการของความเคยชิน

วันนี้ขอออกมาจากห้องปฏิบีิการคอมพิวเตอร์สักหน่อยนะครับผม พออดีไปเจอบทความที่น่าอ่านที่บล็อก กรรมกรวิชาการ แห่งโอเคเนชั่นบล็อก เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นของนักปรัชญาชื่อดัง อัลเิบิร์ต ไอสไตน์ ส่วนเรื่องจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้นไม่มีขอมูลแน่ชัด แต่จุดประสงค์ของบทความไม่ใช่เกิดขึ้นจริงหรือไม่หรอกครับเพราะมันคือ การออกจาก  'พันธนาการของความเคยชินต่างหาก 

:::..
ในห้องเรียนวันหนึ่ง   ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า

' มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน   กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า
พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ   ปรากฏว่า คนหนึ่ง
ตัวสะอาด   อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า
ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน '


นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า
' ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ '

ไอสไตน์ พูดว่า

' งั้นเหรอ   คุณลองคิดดูให้ดีนะคนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน   ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย   ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า    ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน   ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า   ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ '

นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า

' อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก   ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรก เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย   ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย   ..... ถูกไหมครับ....'
 

ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน   ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้  
 ไอสไตน์ ค่อยๆ   พูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล

' คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน   จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก    นี่แหละที่เขาเรียกว่า 'ตรรก'   เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด  
 ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล   แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ 'ตรรก'

จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก  'พันธนาการของความเคยชิน'  
หลบเลี่ยงจาก  'กับดักทางความคิด'  
หลีกหนีจาก ' สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง '  
ขจัด ' ทิฐิแห่งกมลสันดาน '

::::::::......จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด  ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้
 

ต้นฉบับ โอเคเนชั่นบล็อก

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ระบบปฏิบัติการมือถือ

1.ซิมเบียน (Symbian)
          คือ ระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ พัฒนาโดยบริษัทSymbion Ltd. โดยออกแบบสำหรับทำงานเฉพาะหน่วยประมวลผล ARM
ปัจจุบันมีบริษัทที่ถือหุ้นส่วนอยู่ได้แก่ อีริกสัน (15.6%) โนเกีย (47.9%) พานาโซนิก (10.5%) ซัมซุง (4.5%) ซิเมนส์ (8.4%) และ โซนี อีริกสัน (13.1%) โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซิมเบียนเริ่มใช้งานเมื่อในเดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. 2541

อุปกรณ์ทำงานกับซิมเบียน
    - การ์ดหน่วยความจำภายนอก เช่น SD/MMC CARD, RS-MMC CARD
    - อินฟราเรด
    - บลูทูธ
    - สายเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ส่งข้อมูล หรือสามารถใช้ การ์ดรีดเดอร์ในการอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำภายนอก

2.วินโดวส์โมบาย (Windows mobile)
          วินโดวส์โมเบิล (Windows mobile) หรือ วินโดวส์โมบายล์ (ชื่อในไทย) คือระบบปฏิบัติการที่เล็กกระทัดรัดประกอบด้วยชุดแอปฟลิเคชั่นพื้นฐาน สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ บน Microsoft Win32 API อุปกรณ์ที่ใช้ระบบวินโดวส์โมเบิลมี พ็อกเก็ตพีซี,สมาทโฟน,พอร์เทเบิลมีเดียเซ็นเตอร์ ออนบอร์ดคอมพิวเตอร์ เพื่อจะเป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ทำงานอัตโนมัติอย่างแท้จริง มันถูกออกแบบให้มีระบบปฏิบัติการคล้ายวินโดวส์บนเครื่องพีซีทั่วไป เช่น จุดเด่น แบบอย่าง และความเกี่ยวข้องกัน ส่วนที่พัฒนาซอฟแวร์คือ ความพิเศษสำหรับวินโดวส์โมเบิล ต้นกำเนิดของระบบปฏิบัติการวินโดวส์โมเบิลคือ ระบบปฏิบัติการ Pocket PC 2000 วินดดวส์โมเบิลได้มีการอับเดทในเวลาต่อมา ซึ่งแนวโน้วตอนนี้คาดว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์โมเบิล6 เป็นเวอร์ชันใหม่สำหรับปี2008
ระบบปฏิบัติการวินโดวส์โมเบิล สำหรับพ็อกเก็ตพีซี จุดเด่นโดยรวมทั่วไปของทุกเวอร์ชันมีดังต่อไปนี้Today Screen หน้าจอโชว์วันที่ปัจจุบัน คำแนะนำของผู้เป็นเจ้าของ การนัดหมาย ช้อความ อีเมลและหน้าที่ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งให้อะไรอยู่บนจอได้ รวมถึงแถบการใช้งานและไอคอนแสดงสถานะการทำงานของบลูทูท และอื่นๆ โปรแกรมสามารถลงเพิ่มได้จากการใส่ในExtra time ที่ Today screen หนึ่งในจำนวนนั้น คือไมโครซอฟท์มันนี่ สำหรับพ็อกเก็ตพีซี รูปภาพแบล็กกราวด์สามารถได้ให้ตรงตามรุ่นของพ็อกเก็ตพีซี หรือธีมสามารถ สร้างหรือ โอนถ่ายไปยัง พ็อกเก็ตพีซีได้



3.แอนดรอยด์ (Android)
          แอนดรอยด์ (อังกฤษ: android) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ เน็ตบุ๊ก ทำงานบนลินุกซ์ เคอร์เนล เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ (อังกฤษ: Android Inc.) จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิล และนำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ภายหลังถูกพัฒนาในนามของ Open Handset Alliance ทางกูเกิลได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ดต่างๆ ด้วยภาษาจาวา และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries ที่กูเกิลพัฒนาขึ้น
แอนดรอยด์ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดยทางกูเกิลได้ประกาศก่อตั้ง Open Handset Alliance กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสาร 48 แห่ง ที่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา มาตราฐานเปิด สำหรับอุปกรณ์มือถือ ลิขสิทธิ์ของโค้ดแอนดรอยด์นี้จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรี
โทรศัพท์เครื่องแรกที่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้คือ HTC Dream ออกจำหน่ายเมื่อ 22 ตุลาคม 2551

รุ่นพัฒนา
รุ่นพัฒนาของแอนดรอยด์จะใช้รหัสชื่อเป็นชื่อขนมหวาน โดยมีตัวอักษรขึ้นต้นเรียงลำดับกัน

ไอซีที จัดหลักสูตรแนวทางการจู่โจมและรับมือภัยคุกคามทางด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์



กระทรวงไอซีที จัดหลักสูตรแนวทางการจู่โจมและรับมือภัยคุกคามทางด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เสริมแกร่ง พร้อมรับมือภัยคุกคามทางด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ คาดปี53 ยอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 20 ล้านคน...

พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวภายหลังการอบรมแนวทางการจู่โจมและรับมือภัยคุกคามทางด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ว่า ขณะนี้การใช้งานอินเทอร์เน็ตมีอัตราที่สูงขึ้นทุกปี โดยจากสถิติภาพรวมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยของหน่วยปฏิบัติการวิจัย เทคโนโลยีเครือข่าย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค ระบุว่าเมื่อปี 2550 มีจำนวนผู้ใช้งาน 13,416,000  คน ในปี 2551 มีจำนวน 16,100,000  คน ซึ่งคาดว่าในปี 2553 จะมีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยถึง 20 ล้านคน และเมื่อมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงขึ้นย่อมทำให้มีผู้ที่คิดกระทำความผิด ทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เป็นหน้าที่ของกระทรวงฯ ที่จะต้องมีการสร้างเสริมความรู้ให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของชาติ ด้านการข่าวกรอง ด้านการสืบสวน และ ด้านการป้องปรามการกระทำความผิดอันเกิดจากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้มีความรู้เท่าทันภัยคุกคาม รูปแบบการกระทำความผิดในชนิดต่างๆ ได้แก่ การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อปลุกระดมแนวความคิดที่อาจเป็นอันตรายต่อสถาบันหลักของประเทศ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้

ผู้ตรวจราชการ ไอซีที กล่าวต่อว่า กระทรวงฯ วางแนวทางปฏิบัติเพื่อรับมือกับภัยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีสารสนเทศที่กำลังเพิ่มมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้และเทคนิคในการสืบสวนบนเครือข่าย คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้ทันกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อให้รู้เท่าทันถึงภัยคุกคามและรูปแบบการกระทำความผิดจากการใช้ข้อมูล ตลอดจนสร้างความเข้าใจถึงสาระสำคัญจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 รวมถึงเรียนรู้เพื่อหาแนวทางการจู่โจมและวิธีรับมือภัยคุกคามทางด้าน อาชญากรรมคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้จัดการฝึกอบรมในหลักสูตรแนวทางการจู่โจมและรับมือภัยคุกคามทางด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ขึ้นเพื่อฝึกอบรมให้กับผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 31 หน่วยงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างบุคลากรที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานด้านความมั่นคงของ ชาติให้มีความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามและรูปแบบการกระทำความผิดจากการ ใช้ข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต รวมทั้งมีหลักคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลในงานด้านการสืบสวน และการป้องปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของสถาบัน หลักของชาติไทย ตลอดจนรู้จักการสร้างและใช้เครื่องมือในการสืบให้เกิดผลสำเร็จในงานด้านการข่าว ด้านการสืบสวน การป้องปรามจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต รวมถึงสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปใช้รับมือภัยคุกคามทางด้าน อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ได้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน และรู้เท่าทันกรรมวิธีในการจู่โจมทางคอมพิวเตอร์

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

กว่า 43% เคยถูกหลอกลวงผ่านระบบอินเทอร์เน็ต

ผลวิจัย เด็กไทยร้อยละ 43 เคยโดนรังแกผ่านโลกไซเบอร์ ชี้ต้องป้องกันก่อนเป็นเรื่องใหญ่ ผู้ปกครองต้องรู้เท่าทันให้คำปรึกษา เด็กได้
    
ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ อาจารย์สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปัญญา สมาพันธ์เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์  จำกัด มหาชน ทำงานวิจัย เรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติและพฤติกรรมการกระทำความรุนแรงทั้งทางกายภาพและการข่มเหงรังแกผ่านโลกไซเบอร์ของเยาวชนไทย” เพื่อศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมการข่มเหงรังแกผ่านโลกไซเบอร์ของเด็กไทย โดยทำการสำรวจเมื่อเดือน ส.ค. ผ่านกลุ่มตัวอย่างเยาวชนไทยอายุ 15-24 ปี จำนวน 2,500 ตัวอย่าง ทุกภูมิภาคของประเทศ ผลการศึกษา พบว่า   มีเด็กร้อยละ 43.1 ระบุว่าเคยถูกรังแกผ่านโลกไซเบอร์มาแล้ว ทั้งการถูกนินทา การ  ด่าทอ ส่งข้อความกวน การนำข้อมูลส่วนตัว ไปเผยแพร่ ล้อเลียน ผ่านช่องทางสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ คือ โทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ต จนผู้ถูกกระทำเกิดความเสียหาย  และมีเยาวชนเพียงร้อยละ 1.9 และ 4.9 เท่านั้นที่นำเรื่องนี้บอกครู และผู้ปกครอง ส่วนอีก 19.8 นำเรื่องนี้บอกกับเพื่อน
    
ดร.วิมลทิพย์ กล่าวต่อว่า การรังแกกันผ่านโลกไซเบอร์ หรือ Cyber-bullying ในต่างประเทศมีมานานและเกิดขึ้นบ่อย จนทำให้เด็กบางคนรู้สึกอับอายจนต้องลาออกจากโรงเรียนหรือฆ่าตัวตาย บางประเทศต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบโดยตรง สำหรับในประเทศไทยถือว่าเป็นเรื่องใหม่และยังไม่มีหน่วยงานใดเป็นผู้ดูแล อย่างไรก็ตามจากการวิจัยเคยพบเด็กไทยที่ถูกกระทำเหล่านี้ เกิดความอับอายต้องลาออกจากโรงเรียนหรือมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วย จึงจำเป็นต้องป้องกัน เพราะเด็กส่วนใหญ่เข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้น ผู้ปกครองถือเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยีและให้คำปรึกษากับเด็กได้
    
ด้าน พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และนายกสมาคมผู้   ดูแลเว็บไทย กล่าวว่า การรังแกกันผ่านโลก ไซเบอร์ของเด็กไทยมีเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีการสอนให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์ในโรงเรียน แต่ไม่มีการสอนให้รู้จักภัยของคอมพิวเตอร์ สถานศึกษาจึงต้องมีการสอนเรื่องนี้เพราะเด็กบางคน รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือยังแยกแยะไม่ได้เมื่อถูกรังแกคิดว่าต้องโต้ตอบกลับ ซึ่งหากเขียนหรือส่งต่อข้อความที่ส่อทำให้ผู้อื่นเสียหาย   จะเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2550 โดยมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท.


ที่มา : เดลินิวส์

กทช.เร่งติดเน็ตชุมชน

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร กรรมการในคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวถึงการให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคมว่า ขณะนี้ กทช.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดให้มีศูนย์อินเทอร์เน็ตชุมชนประมาณ 400 แห่ง
เพื่อให้เป็นศูนย์เล่น เรียนรู้ของชุมชน ในพื้นที่ชนบท หรือที่บริการโทรคมนาคมยังไม่เข้าทั่วถึง เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปพัฒนาศักยภาพและความรู้ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ที่มา : คมชัดลึก

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แนะนำเว็บไซต์ : ไทยแอนดรอยด์ พูดคุยภาษา Android

          วันนี้ขอแนะนำ เว็บไซต์ที่พูดจาภาษาเอ็นดรอยด์ ให้ข้อมูล เกม แอพลิเคชั่น แนะนำ เสนอแนะข้อมูล ที่น่าสนใจเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android ) คลิกเข้าไปที่ www.thaiandroid.org
หรือถ้าหากจะเข้าไปพูดคุย กับเพื่อนๆที่ใช้เอนดรอยด์ ได้ทาง www.thaiandroidclub.com ครับผม
ขอให้สนุกกับการใช้งานครับ

เฟซบุ๊ก เตรียมตัวเปิดบริการอีเมลเร็วๆ นี้

          Facebook ยักษ์ใหญ่โซเชียลเน็ตเวิร์ค เตรียมตัวเปิดบริการอีเมล คาดจากการเชิญสื่อเข้าร่วมงานจันทร์นี้ ส่วนกูเกิลอาจเปิดโซเชียลเน็ตเวิร์คแข่ง...
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ว่ามีการเคลื่อนไหวจากทางเฟซบุ๊กในท่าทีเกี่ยวกับการเปิดบริการอีเมลรวม กับบริการอื่นๆ ของเฟซบุ๊กเอง
รายงานดังกล่าวมาจากเว็บไซต์เทคโนโลยี ชื่อดังอย่างเทคครันช์ที่รายงานว่า เฟซบุ๊กมีแผนที่จะเปิดตัวบริการอีเมลดังกล่าวในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ โดยมีสื่อหลายแห่งได้รับการเชิญไปร่วมงาน แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของงานดังกล่าวออกมาแต่อย่างใด
รายงาน จากอีกแห่งยังยืนยันว่าเฟซบุ๊กมีแผนที่จะลงทุนกับศูนย์เก็บข้อมูลแห่งใหม่ใน มลรัฐนอร์ธ แคโรไลนา ของสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 450 ล้านดอลลาร์หรือราว 13,430  ล้านบาท ซึ่งประจวบเหมาะกับข่าวลือที่ว่าเฟซบุ๊กจะเปิดบริการอีเมลให้กับผู้ใช้เฟ ซบุ๊กในปัจจุบัน
นอกจากนี้  ยังมีการเปิดเผยถึงโปรเจ็คต์ลับที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนอย่าง 'Project Titan' ที่มีการพูดถึงในภายในว่าเป็น 'Gmail Killer' เลยทีเดียว
ปัจจุบัน เฟซบุ๊กมีฐานผู้ใช้อยู่ที่ 500 ล้านคน ถือว่าทรงพลังที่สุดในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ทั่วโลก และเมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมลพบว่า มากกว่าทั้งฮ็อทเมลที่มีผู้ใช้อยู่ที่ 361.7 ล้านคน      ยาฮู 273.1 ล้านคน และจีเมล 193.3 ล้านคน  และท่าทีล่าสุดหมายความว่าถ้าเฟซบุ๊กเปิดบริการอีเมลขึ้นจริงโดยผูกกับบัญชี ผู้ใช้ของเฟซบุ๊กในปัจจุบัน จะทำให้เฟซบุ๊กกลายเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมลที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปด้วย
ส่วน ทางฝั่งกูเกิลมีความเคลื่อนไหวในส่วนของการที่จะปั้นบริการ  'Google Me' ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเข้าชนตรงๆ กับเฟซบุ๊กนั้นใกล้จะเผยโฉมแล้ว     แม้ว่าทางกูเกิลเองจะพยายามปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอดก็ตาม.






ข่าวจาก :  ไทยรัฐ   15 พฤศจิกายน 2553

แอนดรอยด์ ที่สองของตลาดสมาร์ทโฟนโลก


              การ์ทเนอร์เผยข้อมูลส่วนแบ่งการตลาด แอนดรอยด์มาแรงแซงขึ้นที่สอง อันดับหนึ่งยังเป็นซิมเบี้ยน ยอดขายรวมสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นร้อยละ 96
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ว่าการ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยชื่อดัง ได้ออกมาเปิดเผยส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือ โดยซิมเบียนยังคงนำดิ่งเป็นอันดับหนึ่งที่ร้อยละ 36.6 ซึ่งลดลงจากปีที่แล้ว ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดถึงร้อยละ 44.6 ตามมาด้วยอันดับสองคือ แอนดรอยด์ ที่ก้าวกระโดดขึ้นมาจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 3.5 เป็นร้อยละ 25.5 อันดับ ที่สามคือไอโอเอส (ไอโฟน) ที่ครองส่วนแบ่งอยู่ที่ร้อยละ 16.7 ลดลงมาเล็กน้อยจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 17.1 อันดับที่สี่ คือ แบล็กเบอร์รี่ ที่สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ลดลงมาจากร้อยละ 20.7 เป็นร้อยละ 14.8 ส่วนที่เข้าขั้นวิกฤติ คือ วินโดวส์โมบายล์ ที่ขณะนี้มีส่วนแบ่งการตลาดเพียงร้อยละ 2.8 จากปีที่แล้วที่ร้อยละ 7.9
ในส่วนของผู้ผลิตโนเกียก็ยังคงนำโด่งเป็นผู้นำจากยอดขายในไตรมาสที่สามถึง 117.5 ล้านเครื่อง    ตามมาด้วยซัมซุง และแอลจี

ทั้งนี้ยอดขาย โทรศัพท์ในช่วงไตรมาสที่สามมีจำนวนถึง 417 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 35 ส่วนสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 96 ไปที่ 81 ล้านเครื่องแล้ว
อัตราการเติบโตอย่างร้อนแรงในครั้งนี้ของ แอนดรอยด์  ทำให้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นระบบปฏิบัติการมือถืออันดับสองของโลกได้    เป็นรองเพียงแค่ซิมเบี้ยนเท่านั้น และนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า หากแอนดรอยด์ยังคงร้อนแรงต่อไป จะสามารถแซงซิมเบี้ยนได้ในปี 2012 อย่างแน่นอน.< ที่มา : นสพ. ไทยรัฐ>

จากข่าวจะเห็นได้ว่า โทรศัพท์มือถือจากโนเกียยังเป็นที่นิยมอยู่ นำสมาร์ทโฟน แต่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนยังเป็นที่นิยมมากกว่า แบล็กเบอร์รี่ นั่นเองครับ ดังนั้นผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนก็ยืดตัวได้เลยครับ

ระวัง!!! โทรศัพท์หลอกขอ password

          เหตุการณ์ "อำเหนือเมฆ" เพื่อหลอกเอารหัสผ่าน (password) จากผู้ใช้คอมพิวเตอร์รายล่าสุดนี้เกิดขึ้นกับชาวเมือง Wllington ในสหรัฐฯ ซึ่งตามรายงานระบุว่า พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากใครบางคนที่อ้างตัวเป็นพนักงานไมโครซอฟท์ (Microsoft) ติดต่อมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาไวรัสบนคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ




ศูนย์กลางรับเรื่องร้องเรียนสถานีตำรวจในเมือง Wellington กล่าวว่า เจ้าทุกข์รวมแล้วเกือบ 100 รายได้ติดต่อเข้ามา เพื่อรายงานให้ทราบว่า พวกเขาถูกหลอกโดยพนักงานไมโครซอฟท์ตัวปลอม โดยทางต้นสายอ้างว่า พวกเขาทำงานอยู่ที่ไมโครซอฟท์ และติดต่อมา เพื่อช่วยกำจัดไวรัสที่สแกนพบในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ ซึ่งการที่พวกเขาจะแก้ไขได้นั้น ผู้ใช้แค่บอกพาสเวิร์ดของคอมพิวเตอร์ให้ทราบก็พอ หลังจากได้รหัสผ่านไปแล้ว แฮคเกอร์ก็จะสามารถล็อกอินเข้าไปในระบบของผู้ใช้ด้วยสิทธิ์ของ Admin ได้อย่างง่ายดาย ประเด็นก็คือ ทางไมโครซอฟท์ไม่มีการเสนอให้บริการลักษณะดังกล่าวกับลูกค้าแต่อย่างใด เตือนกันให้ทราบสำหรับเทคนิคกลโกงของผู้ไม่หวังดี เพราะบ่อยครั้งที่การแฮคพาสเวิร์ดไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อน เพราะทำแค่นี้ก็ได้แล้ว ง่ายจริงๆ


ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์

"วินต์ เซิร์ฟ" ชี้ไอพีวี 4 ใกล้ถึงทางตัน คาดช่วงยกเครื่องสู่ระบบใหม่ "ไอพีวี 6" กระทบระบบป่วน-เว็บอืด จี้ภาคธุรกิจตื่นตัว

          "วินต์ เซิร์ฟ" ชี้ไอพีวี 4 ใกล้ถึงทางตัน คาดช่วงยกเครื่องสู่ระบบใหม่ "ไอพีวี 6" กระทบระบบป่วน-เว็บอืด จี้ภาคธุรกิจตื่นตัวสกัดปัญหาที่อยู่อินเทอร์เน็ตขาดแคลนกระทบธุรกิจ

รายงานข่าวจากบีบีซี นิวส์ กล่าวว่า "วินต์ เซิร์ฟ" หนึ่งในผู้บุกเบิกระบบสถาปัตยกรรมเครือข่ายเตือน "อินเทอร์เน็ต" อาจเผชิญภาวะไร้เสถียรภาพ เนื่องจากการเปลี่ยนระบบการกำหนดที่อยู่อินเทอร์เน็ตใหม่ หรือ "ไอพีวี 6"
นายเซิร์ฟ ระบุว่า ที่อยู่อินเทอร์เน็ต (IP Address) ปัจจุบันใกล้จะหมดลงในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ (2555) ซึ่งประเทศ และภาคธุรกิจต่างๆ จะต้องเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนระบบใหม่ ที่อาจเป็นช่วงทำให้อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร และการเข้าถึงเว็บไซต์ หรือบริการต่างๆ ทำได้ยาก
ปัจจุบันเครือข่ายอินเทอร์เน็ตใช้ระบบการระบุที่อยู่ในเวอร์ชั่น 4 หรือ "ไอพีวี 4" ซึ่งจะสามารถกำหนดที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ราว 4.3 พันล้านไอพี และคาดว่าจะใช้หมดในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2555
ขณะที่ระบบใหม่ที่สามารถกำหนดที่อยู่อินเทอร์เน็ตได้มากกว่านั้นเรียกว่า "ไอพีวี 6" แต่เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทำได้ค่อนข้างช้า
"ภาคธุรกิจควรต้องเข้าใจว่านี่เป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยอมรับใช้งานกัน และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เครือข่ายสามารถขยายตัว และวางใจที่จะใช้งานได้ต่อไป" นายเซิร์ฟกล่าว
พร้อมกับติงว่า ธุรกิจทั่วโลกยังไม่คำนึงถึงแผนสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเขาเชื่อว่า ธุรกิจจะไม่สามารถเติบโตได้หากไม่มีพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตให้ขยายตัวได้ต่อ
ขณะที่ปัญหาของการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเริ่มเลวร้ายมากขึ้น เนื่องจากระบบที่อยู่อินเทอร์เน็ตทั้ง 2 ระบบไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบอินเทอร์เน็ตจะไม่หยุดทำงาน หากแต่การเข้าถึงเว็บจะทำได้ไม่ราบรื่น
เขายกตัวอย่างกรณีกูเกิล ซึ่งแม้จะเป็นยักษ์ใหญ่บนอินเทอร์เน็ต แต่ก็ยังใช้เวลาถึง 3 ปี ในการเปลี่ยนมาใช้ระบบไอพีวี 6 ให้สามารถทำงานได้สมบูรณ์
นอกจากนี้ ปัจจุบันมีข้อมูลเพียง 1% เท่านั้น ที่ส่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยระบบแพคเก็ตไอพีวี 6 ทั้งยังมองว่าการเปลี่ยนระบบดังกล่าวควรจะต้องเป็นประเด็นสำคัญต้นๆ ของโลก ที่จะต้องทำในขณะนี้ โดยบางประเทศ เช่น จีน และสาธารณรัฐเช็กได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้ระบบดังกล่าวแล้ว แต่หลายประเทศยังไม่แม้แต่จะริเริ่ม
นายไนเจล ทิตเลย์ ประธานองค์กร RIPE ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตในระบบไอพีวี 4 กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นจังหวะที่ควรจะคิดถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนที่ปัญหาไอพีขาดแคลน จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังจะกระทบต่อความพยายามที่จะกระตุ้นให้คนออนไลน์มากขึ้น หรือการส่งเสริมให้เกิดตลาดอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากขาดแคลนที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม กุญแจสำคัญที่เชื่อว่าจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนมาใช้ระบบไอพีวี 6 คือ ผู้ให้บริการระบบ หรือไอเอสพี ควรจะเสนอเป็นบริการให้กับลูกค้าในเครือข่ายมากขึ้น


 
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์