สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเครือข่ายนั้นจะมีอยู่หลากหลายอุปกรณ์ด้วยกัน โดยที่อุปกรณ์ซึ่งใช้ในระบบเครือข่ายนั้นจะมีหน้าที่หลักคือ การทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการการรับ-ส่งข้อมูลบนระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นการทวนสัญญาณของข้อมูล, การรับ-ส่งข้อมูลภายในระบบเครือข่าย รวมถึงการรับ-ส่งข้อมูลข้ามเครือข่าย ซึ่งอุปกรณ์ที่มีการใช้งานกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ได้แก่ อุปกรณ์ Hub, Switch รวมถึงอุปกรณ์ Router เป็นต้น
ก่อนที่เราจะไปคุยกันถึงหลักการเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่ายเหล่านี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการทำงานของแต่ละอุปกรณ์กันอย่างคร่าวๆ ก่อน เพื่อจะได้เป็นการทราบถึงหน้าที่ของอุปกรณ์แต่ละตัวในเบื้องต้นกันครับ
อุปกรณ์ระบบเครือข่าย
อุปกรณ์ Hub:
อุปกรณ์ Hub นั้นมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Repeater มีการทำงานอยู่บน Layer 1 (Physical Layer) ของระบบเครือข่ายรูปแบบ OSI 7 Layer ซึ่งอุปกรณ์นี้จะมีหน้าที่ในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องให้เข้ากันเป็นกลุ่ม โดย Hub จะทำหน้าที่ในการรับ-ส่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่งเพื่อส่งต่อไปยังทุกๆ พอร์ตที่เหลือบนตัวอุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์ Hub นั้นจะมีการทำงานในรูปแบบการแบ่งแบนด์วิดธ์ในระบบเครือข่ายในการใช้งาน (Bandwidth Sharing) ดังนั้นถ้าหากในตัวอุปกรณ์ Hub มีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อยิ่งมากเท่าใด ก็จะทำให้ Bandwidth ในการใช้งานต่อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นยิ่งลดน้อยลง ในปัจจุบันมีผู้ผลิตอุปกรณ์ Hub จากหลากหลายบริษัทผลิตมาจำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งจะมีลักษณะการทำงานโดยทั่วๆ ไปเหมือนกัน โดยข้อแตกต่างของอุปกรณ์ Hub เหล่านี้ก็จะเป็นในเรื่องของประเภทจำนวนพอร์ตในการเชื่อมต่อ, ชนิดของพอร์ตที่จะใช้เชื่อมต่อกับสายสัญญาณ (แบบสายทองแดง UTP, แบบสาย Fiber Optic เป็นต้น) รวมถึงอัตราความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล เช่น แบบ 10 Mbps หรือแบบ 10/100 Mbps ซึ่งสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ทั้งความเร็วที่ 10 Mbps และ 100 Mbps เป็นต้น ทั้งนี้การที่อุปกรณ์สามารถที่จะทำงานได้ที่อัตราความเร็วมากกว่า 1 ระดับนั้น เนื่องมาจากการที่อุปกรณ์นั้นๆ มีรูปแบบการทำงานที่มีความสามารถในการตรวจสอบได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ระบบเครือข่ายอื่นๆ ที่มาเชื่อมต่อกับตัวมันนั้นมีความสารถในการรับ-ส่งข้อมูลได้ในความเร็วที่มากสุดเท่าใด และอุปกรณ์ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันก็จะเลือกใช้อัตราการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่สามารถรองรับได้ โดยที่เราจะเรียกลักษณะการตรวจสอบแบบนี้ว่าการทำงานแบบ Auto-Negotiation ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์ระบบเครือข่ายในท้องตลาดปัจจุบันก็จะมีความสามารถในการทำงานแบบ Auto-Negotiation อยู่ในตัว
สำหรับการทำงานของอุปกรณ์ Hub ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ระบบเครือข่ายอื่นหลายๆ ตัวเชื่อมต่ออยู่ และแต่ละอุปกรณ์มีการรับ-ส่งข้อมูลที่ความเร็วแตกต่างกัน Hub จะมีการทำงานโดยจะเลือกการทำงานที่อัตราการรรับ-ส่งข้อมูลที่ต่ำที่สุด ซึ่งจะแตกต่างจากอุปกรณ์ Switch ที่เราจะได้พูดถึงต่อไป
อุปกรณ์ Switch:
อุปกรณ์ Switch เป็นอุปกรณ์ที่มีการทำงานอยู่บน Layer 2 (Data Link Layer) ของระบบเครือข่ายรูปแบบ OSI 7 Layer เราสามารถเรียกอุปกรณ์ Switch ได้อีกว่าเป็นอุปกรณ์ Switching Hub หรือ Bridge
อุปกรณ์ Switch จะมีความสามารถในการทำงานมากกว่า Hub โดยที่อุปกรณ์ Switch จะทำงานในการรับ-ส่งข้อมูลที่สามารถส่งข้อมูลจากพอร์ตหนึ่งของอุปกรณ์ไปยังเฉพาะพอร์ตปลายทางที่เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งข้อมูลไปหาเท่านั้น ซึ่งจากหลักการทำงานในลักษณะนี้ทำให้พอร์ตที่เหลือของอุปกรณ์ Switch ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับ-ส่งข้อมูลนั้นสามารถทำการรับ-ส่งข้อมูลกันได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน นั่นจะทำให้อุปกรณ์ Switch มีการทำงานในแบบที่ Bandwidth ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลจะไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับ Switch
จากการทำงานของ Switch ในลักษณะนี้ จะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ทุกๆ เครื่องที่เชื่อมต่ออยู่จะมี Bandwidth ที่มีค่าเท่ากับค่า Bandwidth ของอุปกรณ์ Switch ด้วยเหตุนี้ทำให้ในปัจจุบันอุปกรณ์ Switch จะได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในระบบเครือข่ายมากกว่าอุปกรณ์ Hub
อุปกรณ์ Layer 3 Switch:
จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่าอุปกรณ์ Switch นั้นจะมีการทำงานอยู่บน Layer 2 ของระบบ OSI 7 Layer แต่ก็จะยังมีอุปกรณ์ Switch อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสามารถของการทำงานเพิ่มขึ้น โดยรองรับการทำงานอยู่บน Layer 3 (Network Layer) ของ OSI Model ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ Layer 3 นี้จริงๆ จะเป็นอุปกรณ์ Router เป็นหลัก ข้อแตกต่างระหว่างอุปกรณ์ Layer 3 Switch กับ Router ก็คือ อุปกรณ์ Layer 3 Switch นั้นจะสามารถทำงานได้ทั้งบน Layer 2 และ Layer 3 และอุปกรณ์ Layer 3 Switch จะผลิตขึ้นมาภายใต้พื้นฐานของเทคโนโลยี ASIC (Application Specific Integrated Circuit) แต่อุปกรณ์ Router ส่วนใหญ่นั้นจะผลิตขึ้นมาโดยมี RISC Processor คอยควบคุมในเรื่องของการประมวลผล และจะต้องมีซอฟต์แวร์ที่เข้ามาควบคุมการทำงานอีกทีหนึ่ง ซึ่งทำให้การทำงานของอุปกรณ์ Layer 3 Switch นั้นจะรวดเร็วกว่า Router เป็นอย่างมาก
อุปกรณ์ Router:
ดังที่กล่าวเบื้องต้นไปแล้วว่าอุปกรณ์ Router นั้นจะมีการทำงานอยู่บน Layer 3 ของ OSI 7 Layer Model ซึ่งเป็น Layer ที่เป็นการทำงานเกี่ยวกับเครือข่ายเป็นหลัก ซึ่งทำให้ Router นั้นจะมีหน้าที่หลักในการรับ-ส่งข้อมูลข้ามกันระหว่างเครือข่ายต่างเครือข่ายกัน ซึ่งอุปกรณ์ Router นั้นจะทำงานโดยการอ้างอิงค่า Address เป็นหลัก โดย Router จะอ่านค่าของ Address ปลายทางของข้อมูลนั้นๆ หลังจากนั้นจะทำการคำนวณเพื่อเลือกเส้นทางที่จะส่งข้อมูลนั้นไปยังปลายทางต่อไป โดยที่วิธีในการเลือกเส้นทางในการรับ-ส่งข้อมูลของ Router นั้น Router จะใช้ Routing Protocol เป็นตัวที่คอยกำหนดวิธีในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่ง Routing Protocol นั้นจะมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น IP (Internet Protocol), IPX (Internet Package Exchange) หรือ AppleTalk เป็นต้น โดย Router นั้นจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเส้นทางในการรับ-ส่งข้อมูล หรือที่เรียกว่า Routing Table เป็นตัวช่วยให้ Router ใช้ในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งข้อมูลไปยังปลายทาง
โดยปกติแล้วในการใช้งานอุปกรณ์ Router ในปัจจุบันนั้น เรานิยมที่จะใช้ในการเชื่อมต่อกันระหว่างระบบเครือข่ายตั้งแต่ 2 เครือข่ายขึ้นไป นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Router ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย WAN และยังสามารถเชื่อมต่อ Router ตรงเข้ากับระบบ Internet ได้อีกด้วย
การเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่าย
การเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่ายนั้น โดยหลักๆ แล้วจะไม่แตกต่างกันมากนักในแต่ละอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ Hub, Switch หรือ Router สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงเลยก็คือ ความยากง่ายในการจัดการและดูแลตัวอุปกรณ์เอง สำหรับระบบเครือข่ายที่มีขนาดกลาง อาจจะมีความต้องการในการดูแลและจัดการกับระบบเครือข่ายจากระยะไกล หรือที่เรียกว่า Remote Management ซึ่งการดูแลจัดการแบบนี้อุปกรณ์ระบบเครือข่ายทุกๆ อุปกรณ์จะสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการดูแล โดยผ่านการใช้งานโปรโตคอลแบบ SNMP (Simple Network Management Protocol) และโปรโตคอล RMON (Remote Monitoring Protocol)
ในส่วนของระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่นั้น ส่วนมากมักจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาทำหน้าที่ในการดูแลระบบเครือข่าย (Network Monitoring) โดยเฉพาะ สำหรับการดูแลระบบเครือข่ายนั้นก็มีหลายรูปแบบ เช่น การตรวจสอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบเครือข่ายว่ายังทำงานได้ดีหรือไม่, ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของระบบเครือข่าย (Network Utilization) รวมถึงการแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ดูแลระบบเครือข่ายในกรณีที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระบบเครือข่าย เป็นต้น
โดยปกติทั่วไปแล้วอุปกรณ์ Layer 3 Switch และ Router นั้นจะมีความสามารถในการรองรับการทำงานกับโปรโตคอล SNMP อยู่แล้ว แต่ในส่วนของอุปกรณ์ Hub และ Switch นั้นจะแตกต่างออกไป โดยที่ Hub กับ Switch นั้นจะมีทั้งแบบที่รองรับการทำงานกับโปรโตคอล SNMP ซึ่งเราเรียกว่าแบบ Manageable และแบบที่ไม่สามารถดูแลจัดการอะไรกับตัวอุปกรณ์ได้เลย ซึ่งเรียกว่าแบบ Unmanaged หรือ Plug-and-Play ซึ่งในกรณีที่ระบบเครือข่ายนั้นๆ เป็นระบบที่ค่อนข้างเล็กและไม่มีความจำเป็นที่จะใช้งานในลักษณะ Remote Management ก็ควรจะเลือกซื้ออุปกรณ์ Hub หรือ Switch ในแบบ Unmanaged ที่มีราคาที่ถูกกว่าแบบ Manageable ซึ่งจะทำให้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้พอสมควร เพราะว่าถ้าหากเลือกซื้อในแบบ Manageable มาแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของตัวอุปกรณ์ ก็จะเป็นการใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป แต่ถ้าหากเป็นระบบเครือข่ายที่ค่อนข้างใหญ่ และมีการใช้การทำงานแบบ Remote Management ก็ควรเลือกซื้ออุปกรณ์ในแบบ Manageable เพราะจะเป็นการง่ายต่อการจัดการดูแล, การตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานในระบบเครือข่าย รวมถึงการแจ้งเตือนและค้นหาสาเหตุได้อย่างง่ายในกรณีที่ระบบเครือข่ายเกิดความผิดปกติขึ้น
ที่มา : หลักการเลือกซื้ออุปกรณ์ระบบเครือข่าย
อัพเดตความรู้ ข้อมูล ข่าวสารด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ กับเว็บบล็อก http://computertru.blogspot.com
Music Hit In your life
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
กสทช
(1)
เกมส์คอมพิวเตอร์
(6)
ข่าวสั้นไอที
(3)
ข่าวไอที
(27)
คุณธรรมสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต
(4)
ทิปคอมพิวเตอร์
(13)
เนื้อหา รูปภาพ หรือสื่ออื่นที่ปรากฎเป็นของเจ้าของบทความนั้นๆ
(15)
แนะนำเว็บไซต์
(2)
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(1)
ระบบเติมเงิน
(1)
ระบบปฏิบัติการ Operating System
(8)
ละเมิด
(1)
Computer IT Technology
(17)
Computer Virus
(7)
Hardware Computer
(32)
Information technology IT
(58)
Network ระบบเครือข่าย
(57)
Software Internet
(28)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น