Music Hit In your life

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Congestion control in ATM

Congestion control มีบทบาทสำคัญในการจัดการ traffic อย่างมีประสิทธิภาพของ ATM networks Congestion เป็นสถานะของ network elements ที่ network ไม่สามารถทำให้มั่นใจได้ว่าการจัดการของ quality of service ได้มีให้สำหรับ connections เดิมและสำหรับการร้องขอจาก connection ใหม่ Congestion อาจจะเกิดขี้นเนื่องจากการผันแปรทางสถิติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ของ traffic flows หรือ ระบบ network ล้มเหลว

Congestion control ในทาง network หมายถึง การลดผลกระทบที่เกิดจาก congestion และ ป้องกันการกระจายของ congestion โดยสามารถกำหนด CAC หรือ UPC/NPC procedures เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์เหล่านี้ ดังตัวอย่างเช่น congestion control สามารถลดค่า peak bit rate และติดตามดูค่าของมันได้ นอกจากนี้ Congestion control ยังสามารถทำได้โดยใช้ Explicit Forward Congestion Notification ( EFCN ) เหมือนกับที่ใช้ใน Frame Relay protocol โดยจะทำการ set EFCN bit เอาไว้ที่ cell header ของ node ที่อยู่ใน congested state เมื่อปลายทางได้รับ network element จะใช้ bit นี้เพื่อในการ implement protocols ที่จะมี cell rate ต่ำที่สุดใน ATM connection เมื่อเกิด congestion.

เมื่อเกิด ความคับคั่ง (Congestion) ใน Network จะทำอย่างไร

ความคับคั่ง (Congestion) ในความหมายของระบบเครือข่ายหมายถึง มีปริมาณการใช้งานระบบเครือข่ายมากเกินไปจนทำให้การรับส่งข้อมูลทำได้ช้า สาเหุตทั่วไปของการเกิดความคับคั่งได้แก่
-มีผู้ใช้งานระบบเครือข่ายในส่วนงานนั้น ๆ มากเกินไป
โปรแกรมที่ใช้งานต้องการใช้การติดต่อบนระบบเครือข่ายสูงมาก เช่น โปรแกรมประเภทกรุ๊ปแวร์ (สำหรับการจัดตาราง หรือการจัดการนัดหมาย) และอีเมล์ที่มีการส่งไฟล์ขนาดใหญ่แนบมาด้วย โปรแกรมที่ใช้งานต้องการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายเป็นปริมาณมากๆ เช่น โปรแกรมเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ และโปรแกรมมัลติมีเดีย

- จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสามารถให้การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องเซิร์ฟเวอร์ตัวใหม่สูงขึ้น

สามารถหาจุดที่เกิดความคับคั่งของระบบเครือข่ายได้อย่างไร
การเกิดความคับคั่งของระบบเครือข่ายมักมีอาการดังนี้

ระบบเครือข่ายทำงานช้ามากขึ้น
ระบบเครือข่ายทั้งหมดมีข้อจำกัดในการส่งข้อมูล เมื่อการใช้งานระบบเครือข่ายน้อย อัตราการส่งข้อมูลจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่อีกเครื่องหนึ่งย่อมใช้เวลาน้อยด้วย เมื่อมีผู้ใช้มากขึ้น การติดต่อสื่อสารและส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบเครือข่าย ก็มากขึ้นทำให้อัตราความเร็วในการส่งข้อมูลลดลง การส่งข้อมูลไปถึงปลายทางช้าลง
ในสถานะการณ์ที่ระบบเครือข่ายเกิดการทำงานหนักมากเกินไป โปรแกรมต่างๆ จะไม่สามารถทำงานผ่านระบบเครือข่ายได้เลย และโปรแกรมหรือระบบปฏิบัติการไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ทำให้จำเป็นต้องปิดเปิดเครื่องใหม่ แต่จำไว้ว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้การทำงานของโปรแกรมช้าลง (เช่น ความเร็วของซีพียู, ขนาดของหน่วยความจำ และประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์)

Network Utilization สูงขึ้น
การวัดถึงความหนาแน่นของระบบเครือข่ายที่สำคัญ รูปแบบหนึ่งก็คือการ วัด Channel utilization ซึ่งวัดจากเปอร์เซ็นต์ของเวลาที่ระบบเครือข่ายต้องทำการส่งข้อมูล ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง กับปริมาณการใช้งานของระบบเครือข่าย คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งานระบบเครือข่ายได้ ผ่านโปรแกรมจัดการระบบเครือข่ายที่สามารถแสดงข้อมูลหล่านี้ ออกมาเป็นรูปภาพและกราฟให้คุณเข้าใจได้ง่าย นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ตรวจสอบระบบเครือข่ายชนิดพิเศษ (เช่น Protocol Analyzer หรือ Remote Monitoring RMON) ที่สามารถตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ระบบเครือข่ายอื่นๆ ที่ใช้งานบนระบบเครือข่ายของคุณ

ความไม่พอใจของผู้ใช้
ความเร็วของระบบเครือข่ายเป็นการวัดที่ปลายทาง สิ่งใช้วัดความหนาแน่นของแลนได้ดีที่สุดคือ ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ถ้าผู้ใช้ไม่พอใจกับประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายแล้ว แปลว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้น แม้ว่าระบบเครือข่ายจะทำงานได้ดีอยู่ก็ตาม ความไม่พอใจของผู้ใช้ อาจไม่ได้มาจากความหนาแน่นของระบบเครือข่าย แต่อาจมาจากโปรแกรมที่ใช้งาน ความเร็วของซีพียู และประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ ประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อ WAN ก็เป็นได้ (เช่น โมเด็มทำงานได้ช้าเกินไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น