

อัพเดตความรู้ ข้อมูล ข่าวสารด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ กับเว็บบล็อก http://computertru.blogspot.com
[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา กูเกิ้ล (Google) เปิดบริการโฆษณารูปแบบใหม่บนมือถือ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถคลิกหมายเลขโทรศัพท์ในท้องถิ่น (local number) ที่ปรากฎในลิงค์บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา เพื่อต่อสายไปยังธุรกิจได้ทันที นับเป็นอีกขั้นหนึ่งของการให้บริการ
Click-to-Call บริการโฆษณาแบบใหม่ในกูเกิ้ลจะทำงานด้วยการแสดงหมายเลขโทรศัพท์เพิ่มขึ้นมาที่ด้านบน หรือด้านล่างของหน้าผลลัพธ์การค้นหา ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้ใช้สามารถเห็นโฆษณา และถ้าเขาสนใจก็สามารถเรียกสายไปยังธุรกิจได้ทันทีด้วยวิธีเดียวกับการคลิกลิงค์เพื่อดูเว็บไซต์ (แต่การคลิกคราวนี้จะเป็นต่อสาย"สมาร์ทโฟน"ของคุณไปยังธุรกิจทันที)
โฆษณาแบบ Click-to-Call จะสามารถทำงานกับไอโฟน (iPhone) และสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ (Android) โดยผู้ลงโฆษณาสามารถเลือกใช้บริการนี้ได้ผ่านทางบริการโฆษณาแบบจ่ายตังค์ (paid search ad) ของกูเกิ้ล ซึ่งทางบริษัทมั่นใจว่า ด้วยกลไกโฆษณารูปแบบใหม่นี้จะช่วยเพิ่มโอกาสขายสินค้า และบริการของผู้ลงโฆษณาได้มากขึ้น
สำหรับ Firefox 3.6 ทางโมซิลล่าเน้นเรื่องของการใช้งานแบบส่วนบุคคล (Personalization) รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานกับเว็บไซต์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โซเชีย ลเน็ตเวิร์กกิ้ง อีเมล์ อัพโหลดภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นประเด็นของคุณสมบัติใหม่ของการทำงานที่น่าสนใจได้ ดังนี้
คุณ ผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Firefox 3.6 ได้แล้ววันนี้ สำหรับผู้ใช้ไฟร์ฟอกซ์ที่ต้องการอัพเกรดก็คลิกเมนู Help เลือก Check for Update ครับ
สำหรับการแพร่กระจายของหนอนทั้งสองสายพันธุ์จะมี 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกพวกมันจะฝังตัวอยู่ในเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะอยู่ในรูปของไฟล์บีบอัด ZIP ที่สามารถคลายไฟล์ได้ในตัว หรือโปรแกรมทดสอบ IQ กับสื่อบันทึกข้อมูลพกพาอย่างเช่น USB Drive ซึ่งความสามารถในการแพร่กระจายผ่านสื่อพกพาได้ จะทำให้หนอนไวรัสพันธุ์นี้แพร่กระจายตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น
นอกจาก คุณสมบัติในการแพร่กระจายแล้ว หนอนทั้งสองตัวยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของช่วงเวลาฟักตัวก่อนการแพร่ กระจายอีกด้วย โดย Win32/Zimuse.A จะต้องใช้เวลา 10 วันก่อนที่จะเริ่มแพร่กระจายจากไดร์ฟ USB ในขณะที Win32/Zimuse.B จะใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้น หลังจากที่พวกเมันเข้าไปอยู่ในแฟลชไดรฟ์ นอกจากนี้ มันยังมีการตั้งเวลาทำงานอีกด้วย โดยส่วนของโปรแกรมเขียนทับ MBR ของสายพันธุ์ B จะเร็วกว่าจาก 40 วันเป็น 20 วันหลังจากที่มันติดเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อแล้ว
หากไม่ได้รับการกำจัดอย่างถูกต้อง หนอนจะยกระดับการทำลายที่รุนแรงขึ้นไปอีก จนอาจจะทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ได้เลย ผู้สังเกตการณ์เชื่อว่า หนอนตัวนี้มีวัตถุประสงค์ต้องการแพร่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์ของกลุ่ม แฟนคลับมอเตอร์ไบค์ในสโลวาเกีย แต่เมื่อมันหลุดเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัท การโจมตีจึงแผ่ขยายวงกว้างออกไป อย่างไรก็ตาม ทาง ESET ได้แจกจ่ายชุดซอฟต์แวร์ กำจัดหนอน Zimuse ไว้บนเว็บไซต์แล้ว ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้แล้ว (คลิปข้างล่างนี้แสดงให้พิษสงของหนอนดังกล่าว หลังจากที่ทดลองให้ติดตั้ง และแก้ไขวันทีให้มันทำงาน)
เรื่องน่ารู้ต่างๆเกี่ยวกับ ชนิดต่างๆของ UPS
“ UPS ” เป็นอุปกรณ์ชนิดแหล่งจ่ายกำลังงานไฟฟ้าประเภทหนึ่ง ที่ช่วยให้อุปกรณ์สามารถมีกำลังงานไฟฟ้าใช้ และ ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการออกแบบใช้งานมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในสมัยก่อนเราใช้งาน UPS เป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษเพื่อแก้ไขคุณภาพกำลังไฟฟ้า ( Power Quality ) โดยมักจะมีการใช้เฉพาะงานที่จำเป็น เช่น ในระบบเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ในเครื่องมือแพทย์ ในเครื่องมือวัดเก็บค่าที่ใช้เวลานาน เป็นต้น และยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนักเนื่องจากราคาสูง แต่ในปัจจุบันซึ่งนับได้ว่าเป็นยุคไอที ได้มีการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากในระบบบริษัท และ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตามบ้านกันมากขึ้น อีกทั้งปัจจัยทางด้านราคาที่ค่อนข้างต่ำของ UPS ในปัจจุบัน ยิ่งส่งเสริมให้ความต้องการใช้งาน UPS มีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงคำว่า UPS เรากล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แต่สำหรับโครงสร้างและการทำงานของ UPS ยังไม่เป็นที่รู้กันมากนัก สำหรับ UPS ที่มีขายในตลาดที่แท้จริงแล้วมี 2 ระบบใหญ่ๆแบ่งตามลักษณะของแหล่งกำลังงานคือ 1. โรตารี่ UPS (Rotary Uninterruptible Power
Supply) ซึ่งใช้พลังงานจากแหล่งน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า และ 2. สเตติก UPS (Static Uninterruptible Power Supply) ซึ่งมีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้า
สำหรับบทความนี้เราจะพิจารณาถึง สเตติก UPS เท่านั้น เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ใกล้ตัวและมีการใช้งานกันอยู่ ซึ่งมีหลายขนาด หลายยี่ห้อ อีกทั้งผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาแตกต่างกันไป ตลอดจนมีการออกสินค้าใหม่ที่มีเทคนิคใหม่ๆออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สร้างความยุ่งยากในการตัดสินใจเลือกซื้ออยู่ไม่น้อย เนื่องจาก UPS ต่างยี่ห้อกันต่างก็ระบุคุณสมบัติ ( Specification ) พื้นฐานที่ใกล้เคียงกันทั้ง อัตราวีเอ ( VA ) ระยะเวลาในการสำรองไฟฟ้า ( Back up Time ) และราคา เพราะเป็นคุณสมบัติที่ผู้ซื้อเข้าใจได้ง่าย ดังนั้นในการเลือกใช้งานควรพิจารณาอย่างไร จึงจะถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เนื่องจาก สเตติก UPS นั้นโดยแท้จริงแล้วสามารถแบ่งออกได้อีกหลายประเภท ตามลักษณะของรูปคลื่น และ โครงสร้างการทำงาน ซึ่งจะเหมาะสมกับการใช้งานกับอุปกรณ์ หรือ ในสภาวะไฟฟ้าที่แตกต่างกันไป
เนื่องจากคุณสมบัติพื้นฐานของ UPS แต่ละรุ่นที่ผู้ผลิตแต่ละรายได้กำหนดออกมานั้นจะมุ่งเน้นที่อัตรา วีเอ และ ระยะเวลาในการสำรองไฟ เป็นหลัก ทำให้การเลือกซื้อ UPS เพื่อใช้งานนั้น ผู้ซื้อส่วนใหญ่จึงมักจะเข้าใจว่าควรพิจารณาจากค่า อัตราวีเอ ระยะเวลาในการสำรองไฟ และราคาที่เหมาะสมก็เพียงพอ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อนำไปใช้งาน ผู้ใช้บางท่านอาจจะพบว่า UPS ไม่สามารถทำงานได้ตรงกับความต้องการ เช่น จ่ายกำลังงานไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอ ไม่สามารถป้องกันสภาวะไฟกระชากได้ เป็นต้น ดังนั้นเราควรรู้จัก ชนิด โครงสร้าง และวิธีการทำงาน พอสังเขป เพื่อให้สามารถใช้เป็นความรู้ประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้จะจำแนกชนิด และการทำงานของ UPS แต่ละแบบเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ฯลฯ
ความต้องการยูพีเอส
ทุกวันนี้ อุปกรณ์ที่ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ผู้คนไม่ค่อยที่จะให้ความสนใจมากนักสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ ยูพีเอส (UPS) โดยเจ้าเครื่องยูพีเอสนี้ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ตัวโปรดของคุณให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ สามารถที่จะป้องกันปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าที่จะทำอันตรายต่ออุปกรณ์ต่อเชื่อมของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดไฟดับ ไฟกระชาก ไฟตก การเกิดโอเวอร์โหลด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อก่อนยูพีเอสนี้ยังไม่เป็นที่สนใจสำหรับนักคอมพิวเตอร์มากนัก เนื่องจากเห็นว่าอุปกรณ์นี้ยังไม่มีความสำคัญกับพวกเขามากสักเท่าไหร่นัก คือคิดว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจนทำให้อุปกรณ์ต่างๆ เกิดความเสียหายขึ้น พวกเขาก็สามารถที่จะส่งอุปกรณ์ไปซ่อมได้ เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวมีประกันอยู่แล้ว แต่ท่านลองคิดดูซิว่าถ้าอุปกรณ์นั้นเกิดหมดระยะประกันขึ้นมาแล้วหละก็ ท่านจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรเพื่อที่จะซื้ออุปกรณ์นั้นมาทดแทนอุปกรณ์ที่เสียไป ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลยใช่ไหมครับ กับการที่จะต้องเสียเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อยูพีเอสสักเครื่องไว้ใช้งานกัน
ที่บอกมานั่นก็เป็นเพียงตัวอย่างที่สามารถที่จะบอกได้ว่ายูพีเอสนั้นมีความสำคัญมากขนาดไหน แต่สำหรับผู้ที่พอจะมีเงินเหลือใช้มากอาจจะบอกว่าเสียไปก็สามารถซื้อใหม่ได้ ที่บอกมานั่นก็มีความจริงอยู่บ้างสำหรับอุปกรณ์อื่นที่ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญค่อนข้างมากอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ หละแล้วท่านจะทำอย่างไร (ซึ่งฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับอันตรายมากที่สุดในการเกิดปัญหาทางไฟฟ้าต่างๆ) จริงอยู่ราคาของฮาร์ดดิสก์นั้นมีราคาที่ลดลงมากแล้ว แต่ฮาร์ดดิสก์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลที่สำคัญต่างๆ ถ้าหากว่าข้อมูลที่สำคัญนี้เกิดสูญหายไปหละ ท่านจะทำอย่างไร อาจจะคงต้องเสียเวลาอีกนานกว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้หรือไม่เพียงเท่านี้อาจจะต้องต้องเสียอะไรอีกหลายๆอย่างตามมาก็เป็นได้
ดังนั้นในการเลือกซื้อยูพีเอสไว้ใช้งานนั้นถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับนักคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าเครื่องยูพีเอสนี้ได้กลายมาเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสำนักงาน หน่วยงาน หรือบริษัทต่างๆไปแล้ว เพราะสามารถที่จะป้องกันอันตรายเกี่ยวกับไฟฟ้าได้ดี สำหรับท่านที่เคยใช้งานยูพีเอสมาแล้ว ท่านคงจะพอรู้ว่าในการเลือกซื้อ เลือกใช้ยูพีเอสนั้นควรต้องทำอย่างไรบ้าง แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับยูพีเอสนี้มาก่อนหละครับ คงทำให้ในการเลือกซื้อเป็นเรื่องที่ยากน่าดูเลยใช่ไหมครับ แต่ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้คงจะทำให้ท่านทราบถึงวิธีการเลือกซื้อยูพีเอสกันมากขึ้นครับ
หลักพิจารณาในการเลือกซื้อยูพีเอส
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสำหรับการเลือกซื้อยูพีเอสนั้น ความจริงแล้วนั้นมีอยู่มากเลยทีเดียว แต่ขอสรุปออกมาเป็นข้อๆ ให้เห็นกันดังนี้ครับ
ชนิดของยูพีเอส
ก่อนอื่นสิ่งที่ท่านควรจะทราบก่อนการเลือกซื้อคือ ท่านต้องทราบว่ายูพีเอสชนิดไหนที่เหมาะกับการใช้งานของท่าน โดยยูพีเอสนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้คือ
1.True Online UPS (Double Conversion UPS) ยูพีเอสแบบนี้เป็นยูพีเอสที่มีความสามารถในการปกป้องอุปกรณ์ต่างๆและคอมพิวเตอร์ของคุณได้ดีที่สุด แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่ค่อนข้างแพงด้วย โดยหลักการทำงานของยูพีเอสชนิดนี้คือ เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆที่ต่อเข้ากับยูพีเอสนี้จะไม่ได้รับกระแสไฟฟ้าโดยตรงจากสายไฟเลย เพราะระบบจะทำการจ่ายกระแสไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ก่อน ก่อนที่จะส่งกระแสไฟที่มีความราบเรียบเข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่อเชื่อมต่างๆ โดยจะมีอุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับเป็นตัวปรับแรงดันไฟให้มีความสม่ำเสมอ ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะเกิดไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชากได้เลย ซึ่งจากที่เครื่องยูพีเอสแบบนี้มีราคาที่แพงมาก จึงไม่เหมาะที่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยทั่วไป ยูพีเอสชนิดนี้เหมาะสำหรับที่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้เช่น เครื่องมือแพทย์, เซิร์ฟเวอร์, ตู้ ATM, ระบบคอมพิวเตอร์สื่อสาร, ระบบคอมพิวเตอร์การเงินหรือธนาคาร เพราะจำเป็นที่จะต้องการคุณภาพของพลังงานไฟฟ้าที่สมบูรณ์
2.Standby UPS (Off line UPS) ยูพีเอสชนิดที่สองนี้ถือได้ว่าเป็นยูพีเอสที่มีราคาที่ถูก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของยูพีเอส มีขนาดเครื่องที่เล็กและมีความซับซ้อนภายในเครื่องน้อยที่สุด โอกาสเสียจึงน้อยแต่ถ้าเกิดเสียขึ้นมาจริงๆก็สามารถที่จะซ่อมได้ไม่ยากนัก แต่ถือว่ามีระดับการป้องกันปัญหาทางด้านไฟฟ้าต่ำด้วย คือสามารถที่จะป้องกันไฟดับได้อย่างเดียว แต่ในปัจจุบันยูพีเอสรุ่นใหม่ๆ จะมีวงจรที่ใช้ในการตรวจสอบความผิดพลาดของกระแสไฟโดยเมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้าขึ้น วงจรก็จะสลับจากการใช้ไฟบ้านเปลี่ยนเป็นไปจากแบตเตอรี่ที่ได้ทำการสำรองไว้ ซึ่งระหว่างการสลับกระแสไฟนี้จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นและอาจทำให้คอมพิวเตอร์เกิดปัญหาขึ้นได้ โดยจะไม่เหมือนกับแบบแรกที่สามารถปรับระดับไฟให้มีความสม่ำเสมอได้เป็นยูพีเอสที่หาได้ยากในปัจจุบันแล้ว
3.Line Interactive UPS สำหรับยูพีเอสแบบนี้เป็นยูพีเอสที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปหรืออาจจะนำมาใช้กับเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็กก็ได้ เป็นยูพีเอสที่มีราคาไม่สูงมาก หาได้ง่ายในปัจจุบัน มีระดับการป้องกันที่ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ความซับซ้อนของอุปกรณ์อยู่ในระดับปานกลาง การซ่อมบำรุงทำได้ไม่ยากนัก ถือได้ว่าเป็นยูพีเอสที่มีคนใช้มากและในปัจจุบันก็มียูพีเอสแบบนี้ออกมาจำหน่ายอย่างมากมาย ในส่วนของการทำงานของยูพีเอสชนิดนี้จะมีการทำงานที่คล้ายๆกับยูพีเอสแบบ Standby แต่จะมีความสามารถที่สูงกว่า จะมีการเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า Stabilizer เข้าไป ซึ่งจะคอยตรวจสอบระดับแรงดันไฟฟ้าที่จะป้อนให้กับอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมและคอยทำหน้าที่ควบคุมระดับแรงดันไฟฟ้าให้มีความสม่ำเสมอตลอด นับว่าเป็นยูพีเอสที่เหมาะสมกับคุณมากเลยทีเดียว
ขนาดของยูพีเอสและการนำไปใช้งาน
ก่อนที่เราจะไปเลือกซื้อยูพีเอสมาใช้งานกัน เราต้องทราบก่อนว่าเราต้องนำยูพีเอสนี้ไปใช้งานในด้านใดด้านใด เมื่อเราทราบแล้วว่าเราต้องการนำยูพีเอสนี้ไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ใด จากนั้นต้องหายูพีเอสที่มีขนาดที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่อเชื่อมของเรา โดยขนาดของยูพีเอสนี้จะมีหน่วยเป็นค่า VA หรือ KVA ซึ่งค่านี้อาจทำให้ท่านสับสนอยู่บ้างเพราะไม่ทราบว่าความจุขนาดนี้เหมาะสมกับการใช้งานขนาดใด ดังนั้นผมจึงมีวิธีการในการคำนวณหาค่า VA ที่เหมาะสมกับการใช้งานของท่านมาฝากกันครับ
ท่านลองประมาณค่าของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นกินไฟสักกี่วัตต์ (Watts) แล้วนำค่าวัตต์นี้ไปหารด้วยค่า Power Factor (ค่านี้สามารถสังเกตได้จากบนเครื่องของยูพีเอส) แล้วท่านจะได้เป็นค่า VA ออกมา แต่ส่วนมากอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปก็จะบอกขนาดวัตต์ให้คุณทราบเลย นอกจากจะใช้วิธีคำนวณเพื่อหาค่า VA ที่เหมาะสมจากข้างบนแล้ว ยังมีวิธีคำนวณอื่นๆด้วย คือ เมื่อท่านทราบว่ายูพีเอสมีขนาดกี่ VA แล้วและมีค่าของ Power Factor แล้ว เราก็นำค่า VA และค่า Power Factor นี้มาคูณกัน เพื่อจะได้ค่าเป็นจำนวนวัตต์ ที่ยูพีเอสตัวนั้นสามารถที่จะรองรับได้
ตัวอย่างการคำนวณ
1.สมมติว่า UPS เครื่องหนึ่งมีขนาดเท่ากับ 500 VA และมีค่า Power factor เท่ากับ 0.8 เราก็สามารถที่จะหาขนาดวัตต์ที่ UPS นี้สามารถรองรับได้ คือ 500x0.8= 400 วัตต์
2.สมมติว่าขนาดของอุปกรณ์ต่อเชื่อมของคุณมีค่า 250 วัตต์ และมีค่า Power factor เท่ากับ 0.8 ก็สามารถที่จะคำนวณได้จาก 250/0.8 ซึ่งเท่ากับ 312.5 VA ดังนั้นคุณก็ควรเลือก UPS ที่มีขนาด 312.5 VA ขึ้นไป ซึ่งขนาดของยูพีเอสที่น้อยสุดในปัจจุบันมีค่า 500VA โดยเป็นค่าที่เหมาะสมมากกับการนำไปใช้งานเล็กๆน้อย ยิ่งจำนวนวัตต์ของคุณมีค่ามากเท่าไหร่ ท่านก็ควรจะหายูพีเอสที่มีค่า VA เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นครับ
ความสามารถในการสำรองไฟ
ท่านคงจะทราบว่ายูพีเอสแต่ละตัวก็จะมีความสามารถในการสำรองไฟฟ้าหรือค่า Backup Time ที่แตกต่างกัน ซึ่งค่านี้หมายความว่า ระยะเวลาที่ยูพีเอสของคุณสามารถที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปให้อุปกรณ์ต่อพ่วงได้ โดยนับหลังจากเกิดกระแสไฟฟ้าดับหรือเหตุขัดข้องเกี่ยวกับไฟฟ้าต่างๆไปจนถึงเวลาที่ยูพีเอสไม่สามารถดึงพลังงานของแบตเตอรี่เพื่อส่งให้อุปกรณ์ต่อพ่วงต่อไปได้ โดยระยะเวลาดังกล่าวนั้นจะมีค่าที่แตกต่างกันออกไปตามความสามารถของยูพีเอสที่ท่านใช้งานอยู่ ซึ่งบางเครื่องอาจสามารถสำรองไฟไว้ได้เป็นเวลานานในช่วงระหว่าง 10 – 30 นาที เป็นต้น ซึ่งในการบอกค่า Backup Time เป็นช่วงเวลานั้นก็เพราะว่าไม่สามารถบอกค่าที่แน่นนอนในการสำรองไฟได้ เพราะเราไม่ทราบว่าอุปกรณ์ที่นำไปต่อเข้ากับยูพีเอสนี้มีจำนวนมากเท่าไร ยิ่งจำนวนของอุปกรณ์ต่อเชื่อมมีจำนวนมากขึ้นเท่าใด ระยะเวลาในการสำรองไฟนั้นก็มีค่าน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นในการเลือกซื้อยูพีเอสจึงควรที่จะหายูพีเอสที่มีระยะเวลาในการสำรองไฟที่มีค่ามากๆ ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดีครับ
จำนวนปลั๊กไฟฟ้าหรือพอร์ตเชื่อมต่อของ UPS
พอร์ตต่างๆนี้ถือว่ามีความสำคัญค่อนข้างมากในการเลือกซื้อยูพีเอสในปัจจุบันของเรา เพราะยิ่งจำนวนของพอร์ตเชื่อมต่อของยูพีเอสมีจำนวนมากขึ้นเท่าไร ก็ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกมากขึ้นเท่านั้น ท่านจึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งหลายจะมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย พอร์ตเชื่อมต่อของยูพีเอสที่ได้ทำการผลิตออกมาให้ผู้บริโภคได้ใช้กันนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีจำนวน 2 พอร์ตขึ้นไป คือเพื่อใช้ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง (เคส 1 พอร์ตและจอมอนิเตอร์อีก 1 พอร์ต) แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิตพอร์ตเหล่านี้เพื่อมากขึ้นเพื่อรองรับกับอุปกรณ์ต่อเชื่อมที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ เช่นเครื่องสแกนเนอร์ และเครื่องพรินเตอร์ แต่อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ค่อยความเสียหายเกิดขึ้นมากเท่าไรเมื่อเกิดความผิดพลาดของกระแสไฟฟ้าขึ้น แต่ถ้ามีไว้ก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหมครับ แต่ยูพีเอสตามท้องตลาดของบ้านเรานั้นได้มีการเพิ่มพอร์ตสำหรับเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับพรินเตอร์เลเซอร์กันมากขึ้น เพราะว่าราคาของพรินเตอร์เลเซอร์นั้นมีราคาที่สูง ข้อเสียของพอร์ตนี้ก็คือไม่สามารถที่จะสำรองไฟไว้ได้
นอกจากพอร์ตที่ได้บอกมานี้ ยังมีพอร์ตอีกชนิดหนึ่งที่คนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเหมือนกันคือ พอร์ตสำหรับเสียบสายโทรศัพท์หรือสำหรับโมเด็ม เพราะพอร์ตเหล่านี้สามารถที่จะป้องกันความเสียหายจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ผ่านเข้ามาทางสายโทรศัพท์ได้ ทำให้ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ดังกล่าวได้อีกขั้นหนึ่ง
ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของ UPS
สิ่งที่ UPS รุ่นใหม่ๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องมีคือซอฟต์แวร์พิเศษที่ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องยูพีเอสนี้ด้วย ซึ่งซอฟแวร์เหล่านี้มีความสำคัญค่อนข้างมากแต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก แต่จะมีความสำคัญในตอนที่ไม่มีใครคอยดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ถ้าเกิดมีไฟดับขึ้นจริงๆและเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน จนไม่มีใครคอย Shutdown เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ ซอฟต์แวร์นี้จะเป็นเสมือนผู้ช่วยที่จะคอย Shutdown คอมพิวเตอร์ให้คุณโดยอัตโนมัติ นอกจากความสามารถที่บอกแล้วเจ้าซอฟต์แวร์นี้สามารถที่จะบันทึกข้อมูลที่สำคัญของคุณไว้ได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ทางไฟฟ้าขึ้น และสามารถที่จะรายงานผลการทำงานของยูพีเอสหรือสามารถที่จะตั้งเวลา Shutdown ในเวลาที่คุณกำหนดได้
การรับประกันของ UPS
ที่หลายๆ คนมองข้ามความสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือเรื่องของการรับประกันของยูพีเอสนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้สามารถที่จะประกันได้ว่ายูพีเอสจะมีความปลอดภัยและสามารถที่จะใช้งานได้ อย่างมั่นใจ เพราะถ้ายูพีเอสเกิดมีปัญหาขึ้นและยังอยู่ในประกันอยู่ คุณก็สามารถที่จะส่งซ่อมหรือเปลี่ยนยูพีเอสตัวใหม่มาใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ระยะเวลาการประกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ายูพีเอสของคุณนั้นมีการรับประกันกี่ปี แต่อย่างน้อยควรมีการรับประกัน 1 ปีหรือมากว่านั้นก็ยิ่งดีครับ แต่ยูพีเอสบางยี่ห้อนั้นอาจมีการรับประกันที่แตกต่างกันคือ อาจจะมีการรับประกันแบตเตอรี่หรือบางร้านอาจไม่มีก็ได้ ดังนั้นจึงควรสอบถามรายละเอียดเหล่านี้ให้มีความเข้าใจเสียก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลังได้ครับ
คุณสมบัติต่างๆ
• สิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคเห็นว่ายูพีเอสนี้มีคุณภาพนั้นก็คือ มาตรฐานของยูพีเอส ที่ยูพีเอสนี้ได้รับ เช่น มาตรฐาน ISO 9001 หรือมาตรฐาน มอก. เป็นต้น
• แบตเตอรี่ จริงๆแล้วเมื่อท่านซื้อยูพีเอสมาก็จะมีแบตเตอรี่อยู่ภายในยูพีเอสนั้นแล้ว แต่เมื่อแบตเตอรี่เกิดเสื่อมขึ้นมา จึงจำเป็นต้องหายูพีเอสใหม่มาทดแทน ดังนั้นควรจะเลือกแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ เพราะจะทำให้มีคุณภาพในการสำรองไฟเพิ่มมากขึ้น และมีอายุการใช้งานเพิ่มมากขึ้น
• ฟังก์ชันพิเศษของยูพีเอส ยูพีเอสที่ดีนั้นควรจะต้องมีไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่องเพื่อที่จะทำให้ทราบว่าตอนนี้เครื่องอยู่ในสถานะใด อีกทั้งยังทำให้สามารถสังเกตเห็นสถานะการทำงานได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยูพีเอสที่ดีควรต้องมีเสียงเตือนเมื่ออยู่ในสภาวะอันตรายของยูพีเอส เช่นมีเสียงเตือนว่าไฟในแบตเตอรี่กำลังจะหมด เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน
• รูปทรง ขนาดของยูพีเอสก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ควรต้องเลือกยูพีเอสที่มีขนาดและรูปทรงที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ และต้องดูว่าสถานที่จะท่านจะนำยูพีเอสนี้ไปใช้มีขนาดของพื้นที่มากน้อยเท่าไรด้วย เพื่อที่จะได้มียูพีเอสที่มีขนาดที่เหมาะสมไว้ใช้งานกัน
ที่มา http://202.143.163.252
ความหมายของระบบปฏิบัติการในเบื้องต้น คือ โปรแกรม ที่จัดการคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ โดยทำหน้าที่ให้การสนับสนุนการประมวลผลในเบื้องต้น และทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ และคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ทำงานด้วยกัน อย่างราบรื่น จากความหมายข้างต้น ทำให้ทราบว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมีระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกส่วนหนึ่ง โดยปกติคอมพิวเตอร์จะมีส่วนประกอบสำคัญแยกกันได้ 4 ส่วนคือ hardware, operating system, application program และ users
ความหมายของระบบปฏิบัติการ
ดร. ยรรยง เต็งอำนวย กลุ่มโปรแกรมซึ่งได้รับการจัดระเบียบให้เป็นส่วนเชื่อมโยง
ระหว่างเครื่องและผู้ใช้ โดยจะเอื้ออำนวยการพัฒนาและการใช้โปรแกรมต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้มีประสิทธิผลที่ดี
มงคล อัศวโกวิทกรณ์ กลุ่มโปรแกรมงานที่มีความสามารถสูง เช่น ช่วยในการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบ และควบคุมจังหวะการทำงานของโปรแกรมที่กำลังรันอยู่เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาดและรวมถึงควบคุม System Software
การออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ RISC โดยทั่วไป จะมีกฏเกณฑ์ดังนี้
· 1 คำสั่งต่อรอบสัญญาณนาฬิกา ( One Instruction per Cycle ) นับเป็นสิ่งแรกเลยที่นึกถึงในการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ RISC โดย จะพยายามทำงานให้เสร็จสิ้นภายใน 1 รอบสัญญาณนาฬิกา ( 1 Clock Cycle ) ซึ่งก็มีการใช้ pipeline มาช่วยในการทำงาน ดังนั้น ในการทำงานจริงๆ อาจไม่ใช่ทำงาน 1 คำสั่งเสร็จสิ้นใน 1 รอบสัญญาณนาฬิกา แต่ใช้การนับเวลาในการทำงานของโปรแกรม ซึ่งแน่นอน มีการทำงานหลายๆ คำสั่ง หลายๆ ขั้นตอน แล้วคิดเป็นเวลาเฉลี่ย ซึ่งก็จะได้ประมาณ 1 คำสั่งต่อ 1 รอบสัญญาณนาฬิกา
วิธีที่ใช้เพื่อทำให้ได้ 1 คำสั่งต่อรอบสัญญาณนาฬิกา จะทำโดยใช้คำสั่งง่ายๆ ธรรมดาๆ ไม่ใช่ เพิ่มรอบสัญญาณนาฬิกาให้นานขึ้น
· กำหนดขนาดของ Instruction ให้มีขนาดที่แน่นอน ( Fixed Instruction Length ) ถ้าหากว่าจะทำให้มีการทำงานแต่ละคำสั่งให้เสร็จสิ้นภายใน 1 รอบสัญญาณนาฬิกาได้นั้น ก็แน่นอน ผู้ออกแบบ RISC ก็จะต้องจำกัดขนาดของคำสั่งด้วย ไม่ให้มีขนาดที่ยาวเกินไป ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้ขนาด 1 Word ( จะมีขนาดไม่แน่นอน แล้วแต่เครื่อง แต่โดยทั่วๆไป CPU แบบ RISC จะมีขนาดของ Word = 32 Bit ) โดยใน 1 Word นั้น ก็จะกำหนดทุกๆอย่างทั้งคำสั่ง, Operation , จะดึง Operand จากที่ไหน , จะให้เก็บผลลัพธ์ ( Result ) ที่ไหน และ คำสั่งถัดไปอยู่ที่ไหน
C = A + B : A และ B คือ Operand , + คือ Operation และ C คือ Result
· คำสั่งในการเข้าถึงหน่วยความจำหลัก จะใช้แค่ load ( ดึงข้อมูล ) และ store ( เก็บข้อมูล ) เท่านั้น สถาปัตยกรรมแบบ RISC นั้น เมื่อจะทำการจัดการกับคำสั่งต่างๆ ก็จำเป็นจะต้องนำ Operand มาเก็บไว้ใน Register ก่อน และ ในแต่ละคำสั่งนั้น ก็ถูกจำกัดไว้ที่ 1 Word ซึ่งก็ไม่เพียงพอต่อการเก็บค่าของ Operand ต่างๆ ดังนั้นจึงใช้การอ้างตำแหน่งในหน่วยความจำแทน แต่ การเข้าถึงหน่วยความจำนั้นต้องเสียเวลาอยู่พอสมควร จึงมีการกำหนดให้ใช้เพียงแค่ 2 คำสั่งเท่านั้น คือการ load และ การ store เพื่อลด traffic ระหว่าง หน่วยประมวลผล และ หน่วยความจำ ส่วนเวลาในการ load หรือ store นั้น ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ Operand
· ใช้การอ้างตำแหน่งแบบตรงๆ ง่าย เพราะการอ้างแบบซับซ้อน ก็แน่นอน ต้องใช้ช่วงเวลานานกว่า ซึ่งการอ้างตำแหน่งแบบ RISC นั้นจะจำกัดอยู่ 2 แบบ คือ แบบอ้างผ่าน Register ( Register Indirect ) และ Index โดยการอ้างผ่าน Register นั้น Register จะเก็บค่าตำแหน่งไว้ แล้ว ทำการอ้าง ตำแหน่งนั้นๆผ่าน Register และในแบบ Index จะเป็นการอ้างตำแหน่งจากค่าคงที่ที่มาในคำสั่งนั้นๆเลย
· ใช้ Operation ที่เรียบง่าย ธรรมดาๆ และ มีไม่กี่ Operation เพื่อจะได้ใช้รอบการทำงานน้อยๆ และรวมไปถึงทรัพยากรของระบบที่ใช้ ก็จะใช้น้อยด้วย
ในส่วนของการออกแบบ CISC นั้น ดูเหมือนใช้หลักเกณฑ์ที่ตรงข้ามกับแบบของ RISC แทบจะทั้งหมด เพราะ ในขณะที่ RISC จะพยายามลดคำสั่งให้มีจำนวนน้อยๆ และ ไม่ซับซ้อน แต่ CISC จะพยายามให้มีรูปแบบของคำสั่งต่างๆ มากมาย และ ดูจะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในเรื่องของคำสั่งการทำงานของ RISC นั้น ก็จะมีค่าเฉลี่ยเป็น 1 คำสั่งต่อ 1 สัญญาณนาฬิกา แต่ในขณะที่ CISC อาจใช้ถึง 100 สัญญาณนาฬิกา เพื่อให้ทำงานให้เสร็จ เพียง 1 คำสั่ง
CISC นั้น ก็จะมีจุดเด่น ในเรื่องของการเขียน Program บน CISC นั้น จะทำได้ง่ายกว่า เพราะโดยตัวของ Processor นั้นรู้จักคำสั่งต่างๆมากมาย ทำให้สะดวกต่อการเขียนโปรแกรมใช้งาน และ Program บน CISC นั้นก็มีขนาดเล็กกว่า บน RISC ( ด้วยเหตุผลเดียวกัน )
ต้องอย่าลืมว่า ต่อให้ Processor นั้นดีเพียงใด ก็ตามแต่หากว่า ไม่มีโปรแกรมมาสนับสนุน หรือเขียนโปรแกรมมาใช้งานบน Processor นั้นๆยาก ก็คงไม่มีคนเลือกใช้ Processor นั้นๆ เป็นแน่ หากว่า ผู้ออกแบบ CISC นั้น ออกแบบมาดี โปรแกรมบางอย่าง อาจทำได้เร็วกว่า RISC ด้วยซ้ำ เพราะมีการใช้คำสั่งที่น้อยกว่า ( เพราะมีการเตรียมคำสั่งต่างๆ ไว้จัดการแล้ว ) ตัวอย่างเช่น ต้องการหาผลลัพธ์ของ 7 คูณกับ 9
ถ้า RISC มีเพียงคำสั่ง บวก และ ลบ การจะหาผลลัพธ์ของ 7 คูณ 9 ก็คือ ต้องทำการบวก 7 เข้าด้วยกัน 9 ครั้ง สมมุติว่าแต่ละครั้งของการบวก จะใช้เวลา 1 สัญญาณนาฬิกา ก็จะใช้ถึง 9 สัญญาณนาฬิกา และแม้ว่า Compiler นั้นฉลาด ทำการเอา 9 มาบวกกัน 7 ครั้งแทน ก็จะใช้สัญญาณนาฬิกาที่ 7 สัญญาณนาฬิกา ถ้าเป็น CISC ซึ่งมีคำสั่งคูณไว้ให้แล้ว และ ใช้ 5 สัญญาณนาฬิกาในการคูณแต่ละครั้ง การหาผลลัพธ์ของ 7 คูณกับ 9 ก็จะทำได้ใน 5 สัญญาณนาฬิกาเท่านั้น แต่ในบางกรณี เช่น 4 คูณกับ 3 RISC นั้น จะใช้เวลาเพียง 3 หรือ 4 สัญญาณนาฬิกา แต่ CISC กลับต้องใช้ถึง 5 สัญญาณนาฬิกา
ในการเปรียบเทียบความเร็วและประสิทธิภาพของ RISC กับ CISC ทำได้ยาก เพราะ ต้องแล้วแต่งานที่ใช้ในการทดสอบเปรียบเทียบ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างข้างต้น เพียงแค่เปลี่ยนค่า Operand เท่านั้น ผลที่ได้ก็ต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้น คำตอบสำหรับคำถามนี้ ก็คงตอบได้ยาก เพราะต้องแล้วแต่งาน และ โปรแกรมที่ใช้ และรวมไปถึงค่าต่างๆ ที่อ้างอิงถึงด้วย
ปัจจุบันนี้ Processor แบบ CISC นั้น นับวันก็ยิ่งมีความซับซ้อนของคำสั่ง แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่ในขณะเดียวกัน CISC นั้น ก็ยิ่งมีรูปแบบออกไปทาง RISC ยิ่งขึ้น โดยส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากการลดปัญหาเรื่อง ความเข้ากันได้ของ Processor รุ่นใหม่ๆ กับ Processor รุ่นเก่า ซึ่งดูเหมือนว่าการดัดแปลงคำสั่งสำหรับ Processor ตระกูล x86 ( CISC ) ให้เป็นชุดคำสั่งแบบ RISC ที่เล็กๆกว่า เร็วกว่า และ ง่ายขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ชุดคำสั่งของ RISC สำหรับ Process ตระกูล x86 ( CISC ) ที่เรียกว่า ชุดคำสั่ง RISC86 และ ยิ่งนับวัน Processor แบบ CISC นั้น ก็มีการทำงานแบบ Pipeline และ แบบ Speculative Execution ( มีการคาดเดาล่วงหน้า ) ด้วย ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ แต่เดิมนั้นพัฒนาอยู่บน RISC ส่วนในทางกลับกัน Processor แบบ RISC เองนั้น ก็เริ่มที่จะมีการใช้คำสั่งที่ซับซ้อนขึ้น และ มีหลากหลายคำสั่งมากขึ้น ซึ่งก็เหมือนว่าจะเบนไปทาง CISC เช่นกัน
สำหรับ Processor ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ RISC นั้น ก็ได้แก่ SUN Sparc , IBM RS/6000 , Motorola 88000 ( เป็น Processor แบบ RISC ตัวแรกของ Motorola ) ส่วน Processor ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ CISC นั้น ก็ได้แก่ Processor ตระกูล x86 ทั้งหลาย ทั้ง Intel 8088 เรื่อยมาจนถึงล่าสุด Pentium !!! , AMD ตังแต่ Am286 เรื่อยมาถึงล่าสุด K6-III ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการใช้สถาปัตยกรรมแบบ RISC เข้ามาบ้าง แต่ แกนหลักก็ยังคงเป็น CISC เช่นเดิม